สิ่งที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจกู้ร่วม

29 May 2025

การขอกู้เงินร่วมกันถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการใช้เงินจำนวนมาก ไม่ว่าจะเพื่อนำไปลงทุนในธุรกิจ หรือซื้อทรัพย์สินที่มีราคาสูง เช่น บ้านพักอาศัย แต่ไม่สามารถขอกู้ด้วยตนเองได้ เนื่องจากรายได้ไม่เพียงพอ หรือแม้จะมีรายได้มากพอ แต่ภาระหนี้สินที่มีอยู่อาจเกินเกณฑ์ที่ธนาคารอนุมัติ

เงื่อนไขสำคัญของการกู้ร่วม

ผู้กู้ร่วมจะต้องมีความสัมพันธ์ในลักษณะครอบครัวหรือเครือญาติกัน เช่น พ่อ-แม่ ลูก พี่น้องสายเลือดเดียวกัน หรือสามี-ภรรยา หากไม่ได้จดทะเบียนสมรส อาจต้องแสดงเอกสารเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ เช่น สูติบัตรของบุตร หรือการ์ดเชิญงานแต่งงาน เป็นต้น

กล่าวได้เลยว่าข้อดีของการกู้ร่วมช่วยเพิ่มโอกาสในการขอสินเชื่อให้ได้รับการอนุมัติ โดยมีข้อดีหลักๆ ดังต่อไปนี้

ได้วงเงินมากขึ้น หรือซื้อบ้านหลังใหญ่ขึ้น

การกู้ร่วมสามารถเพิ่มศักยภาพในการผ่อนชำระ และทำให้สามารถกู้เงินได้ในวงเงินที่สูงขึ้น
กรณีตัวอย่าง: นายเอมีรายได้ต่อเดือน 30,000 บาท ธนาคารกำหนดให้ภาระผ่อนไม่เกิน 50% ของรายได้ หรือเท่ากับ 15,000 บาท/เดือน หากต้องการกู้เงินเพื่อซื้อบ้าน ธนาคารจะพิจารณาว่าเงินผ่อน 15,000 บาทนี้ สามารถกู้ได้ประมาณ 2,140,000 บาท (คำนวณจากสูตร 15,000 ÷ 7,000 x 1,000,000)

แต่หากนายเออยากซื้อบ้านราคา 3,000,000 บาท ซึ่งต้องผ่อนประมาณ 21,000 บาท/เดือน เป็นระยะเวลา 30 ปี ซึ่งนายเอจะไม่สามารถกู้ได้เพียงลำพังในราคาดังกล่าว ดังนั้น หากมีผู้มากู้ร่วม โดยช่วยแบ่งภาระผ่อนเดือนละ 9,000 บาท ผู้ร่วมกู้ควรมีรายได้อย่างน้อย 18,000 บาท และไม่มีภาระหนี้สินอื่น ๆ เพื่อให้การกู้เป็นไปตามเงื่อนไขของธนาคาร

ได้ระยะเวลากู้ยาวขึ้น ผ่อนสบายขึ้น

การกู้ร่วมกับบุคคลที่อายุน้อยกว่าสามารถช่วยยืดระยะเวลาการผ่อนได้นานขึ้น ส่งผลให้ยอดผ่อนต่อเดือนลดลงอย่างเห็นได้ชัด

กรณีตัวอย่าง: ผู้กู้หลักอายุ 50 ปี สามารถกู้ได้สูงสุดไม่เกิน 10 ปี หากต้องการกู้ซื้อบ้านราคา 3,000,000 บาท จะต้องผ่อนเดือนละประมาณ 36,000 บาท (จากเงินกู้ 1 ล้านบาท ผ่อนเดือนละ 12,000 บาท เป็นเวลา 10 ปี)

แต่ถ้ากู้ร่วมกับบุตรที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปี จะสามารถขยายระยะเวลากู้ได้นานถึง 30 ปี ส่งผลให้ยอดผ่อนลดลงเหลือเพียง 21,000 บาทต่อเดือน

เมื่อทราบถึงข้อดีของการกู้ร่วมแล้ว อีกสิ่งหนึ่งที่ไม่ควรมองข้าม คือ ข้อควรรู้และข้อควรระวัง ก่อนการตัดสินใจกู้ร่วม เพื่อให้ทุกฝ่ายสามารถเตรียมตัวและตัดสินใจได้อย่างถูกต้องและรอบคอบ โดยมีประเด็นสำคัญที่ควรพิจารณาดังนี้:

ตกลงรายละเอียดให้ชัดเจนก่อนกู้ร่วม

ก่อนจะยื่นกู้ร่วมควรพูดคุยและตกลงกันให้เรียบร้อยทั้งในเรื่อง ความรับผิดชอบในการผ่อนชำระ และสิทธิในกรรมสิทธิ์ของทรัพย์สิน ซึ่งเป็นคนละความหมาย

  • จะผ่อนบ้านกันอย่างไร? ผ่อนเท่าๆ กัน หรือผ่อนตามสัดส่วนรายได้ของแต่ละคน?
  • ใครเป็นผู้รับผิดชอบเมื่อมีปัญหาในการผ่อน?
  • เมื่อผ่อนหมดแล้วจะแบ่งกรรมสิทธิ์ในบ้านอย่างไร?

ตามกฎหมาย หากมีชื่ออยู่ในโฉนดร่วมกัน ทุกคนจะมีสิทธิ์ในบ้านเท่ากัน ไม่ว่าจะแบ่งเงินผ่อนกันเท่าใดก็ตาม ดังนั้น ควรตกลงกันให้ชัดเจนตั้งแต่ต้น เพื่อลดปัญหาที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะในกรณีที่ต้องแยกทางกันที่จะตามมาในภายหลัง

สิทธิในการลดหย่อนภาษี

ดอกเบี้ยที่จ่ายให้ธนาคารจากการกู้ซื้อบ้าน สามารถนำไปใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 100,000 บาทต่อปี โดยต้องเฉลี่ยตามจำนวนผู้กู้

ตัวอย่าง: กู้ร่วมกัน 2 คน เสียดอกเบี้ยตลอดปี 120,000 บาท สามารถนำไปหักลดหย่อนได้สูงสุดคนละ 50,000 บาท (รวมกันไม่เกิน 100,000 บาทตามเกณฑ์) ที่กฏหมายกำหนด ทั้งนี้ ไม่สามารถโอนสิทธิให้ผู้กู้คนใดคนหนึ่งใช้สิทธิแต่เพียงผู้เดียวได้ แม้ว่าจะมีรายได้และอัตราภาษีที่แตกต่างกันก็ตาม

ความรับผิดชอบในหนี้สิน

ผู้กู้ร่วมหลายคนมักเข้าใจผิดว่า ตนเองจะต้องรับผิดชอบหนี้เฉพาะส่วนของตนเท่านั้น เช่น กู้ร่วม 2 คน เป็นเงิน 3,000,000 บาท คิดว่ารับผิดชอบคนละ 1,500,000 บาท ความจริงคือ ผู้กู้ร่วมทุกคนต้องรับผิดชอบต่อหนี้เต็มจำนวน เท่ากันทั้งหมด หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งผิดนัดชำระหนี้ อีกฝ่ายต้องรับผิดชอบต่อยอดหนี้ทั้งหมดทันที ซึ่งหากไม่สามารถชำระได้ อาจถูกฟ้องร้อง และมีผลกระทบต่อเครดิตบูโรหรือประวัติทางการเงินในระยะยาว

การขอยกเลิกการกู้ร่วม

ในบางกรณี ผู้กู้ร่วมอาจต้องการถอนตัวออกจากภาระหนี้ เช่น ต้องการแยกสินทรัพย์ หรืออยากกู้บ้านใหม่เป็นของตนเอง แต่ติดขัดที่ยังมีภาระกู้ร่วมกับธนาคาร การจะยกเลิกการเป็นผู้กู้ร่วม ต้องได้รับการอนุมัติจากธนาคาร โดยธนาคารจะพิจารณาว่า ผู้กู้ที่เหลือมีความสามารถในการผ่อนชำระหนี้ต่อได้หรือไม่ หากผ่านเกณฑ์ ธนาคารจึงจะอนุมัติให้ยกเลิกการเป็นผู้กู้ร่วมได้ แต่หากความสามารถไม่เพียงพอ ธนาคารจะไม่อนุญาต การยื่นขอยกเลิกนั้น เปรียบเสมือนการขอกู้ใหม่ ผู้กู้หลักต้องยื่นเอกสารรายได้และเอกสารประกอบอื่นๆ ใหม่ทั้งหมด

ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ร่วมกู้

ธนาคารจะพิจารณาผู้กู้ร่วมเช่นเดียวกับผู้กู้หลัก ทั้งในด้าน:

  • รายได้ต้องชัดเจนและเป็นไปตามเกณฑ์ขั้นต่ำ
  • ภาระหนี้เดิมต้องไม่เกินความสามารถในการผ่อน
  • ประวัติทางการเงินต้องไม่มีประวัติค้างชำระหรือผิดนัด

ผู้กู้หลายรายมักละเลยจุดนี้ คิดเพียงว่าผู้ร่วมกู้มีรายได้ก็พอ แต่หากมีเครดิตบูโรไม่ดี หรือมีภาระหนี้อื่นๆ มากเกินไปก็อาจส่งผลต่อการอนุมัติสินเชื่อทั้งหมด

ดังนั้น การกู้ร่วมถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยเพิ่มโอกาสให้คุณได้ครอบครองบ้านหรือทรัพย์สินในฝัน โดยเฉพาะในกรณีที่รายได้คนเดียวไม่เพียงพอ หรืออยากแบ่งเบาภาระการผ่อนในระยะยาว หากวางแผนให้ดี

เลือกผู้ร่วมกู้ที่มีความมั่นคง และเข้าใจเป้าหมายร่วมกัน การกู้ร่วมอาจเป็นกุญแจสำคัญสู่ความมั่นคงในชีวิต แต่ก็มีรายละเอียดและข้อควรระวังหลายประการที่ต้องพิจารณาให้รอบด้าน ก่อนตัดสินใจควรพูดคุยตกลงกันให้ชัดเจนเข้าใจในสิทธิหน้าที่ และผลกระทบที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้การกู้ร่วมเป็นไปอย่างราบรื่นและปลอดภัยในระยะยาว หากมีข้อสงสัยสอบถามรายละเอียดได้ที่

ฝ่ายสินเชื่อ CCAP เบอร์โทร: 092-256-6801 หรือแอดไลน์มาได้เลย คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap

สแกน QR Code เพื่อเพิ่มเพื่อน CCAP ได้เลย

Reference Link

© สงวนลิขสิทธิ์ 2565 เจริญสิน แคปปิตอล จำกัด
CALL CENTER  02 120 6624
phone-handset