จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อจ่ายหนี้ช้า?

14 July 2025

หลังจากที่ได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อแล้ว สิ่งสำคัญที่ผู้กู้ต้องปฏิบัติคือ การชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ทุกเดือน โดยทั่วไปผู้กู้จะต้องนำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามข้อตกลงกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน

อย่างไรก็ตามในบางช่วงเวลาอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน หรือการบริหารเงินที่ขาดประสิทธิภาพ จนทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด หากเกิดการจ่ายล่าช้า ผลกระทบที่จะตามมามีดังนี้

1. เสียดอกเบี้ยในอัตราสูงขึ้น (ดอกเบี้ยผิดเงื่อนไข)

เมื่อมีการจ่ายหนี้ล่าช้า สถาบันการเงินจะคิด “ดอกเบี้ยผิดเงื่อนไข” ซึ่งมักมีอัตราสูงกว่าดอกเบี้ยปกติ โดยขึ้นอยู่กับประเภทของสินเชื่อ ตัวอย่างเช่น

  • สำหรับสินเชื่อที่มีหลักประกัน (เช่น สินเชื่อบ้าน) หากอัตราดอกเบี้ยปกติคือ MRR + 5% = 11.85% เมื่อผิดนัดชำระ จะถูกคิดดอกเบี้ยผิดเงื่อนไขในอัตรา MRR + 5% + 3% = 14.85% (ข้อมูลอ้างอิงจากประกาศธนาคารกสิกรไทย ณ วันที่ 13 เมษายน 2566)

สำหรับดอกเบี้ยผิดเงื่อนไขจะถูกคิดจาก “เงินต้นของค่างวดที่ผิดนัด” เช่น ค่างวดรายเดือน 12,000 บาท (เงินต้น 10,000 บาท + ดอกเบี้ย 2,000 บาท (ตัวอย่างสมมติ) ในกรณีนี้ ดอกเบี้ยผิดนัดจะคิดจาก เงินต้น 10,000 บาท

ซึ่งเป็นต้นทุนส่วนเพิ่มที่ไม่จำเป็นต้องเสีย หากชำระหนี้ตรงเวลา

ความรู้เพิ่มเติม : วิธีการคำนวณดอกเบี้ยผิดเงื่อนไขอาจแตกต่างกันตามนโยบายของแต่ละสถาบันการเงิน แนะนำให้ศึกษารายละเอียดจากเว็บไซต์ของสถาบันการเงินก่อนทำธุรกรรม

2. เสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม จากการติดตามหนี้

เมื่อมีการค้างชำระเกิน 1,000 บาทขึ้นไป สถาบันการเงินอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการติดตามหนี้ ดังนี้

  • ค้างชำระ 1 งวด มีค่าติดตาม 50 บาท / รอบ
  • ค้างชำระ 2 งวดขึ้นไป ค่าติดตามเพิ่มเป็น 100 บาท / รอบ
  • กรณีมีการลงพื้นที่ติดตาม อาจมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมถึง 400 บาท / รอบ

ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นต้นทุนส่วนเกินที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากวางแผนการเงินอย่างเหมาะสม

3. เสียประวัติเครดิต ถึงแม้จะยังไม่ถึงขั้นเป็น “หนี้เสีย”

หนี้เสีย หรือ NPL (Non-Performing Loan) คือหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน แต่หากมีการชำระล่าช้าเป็นประจำ ประวัติเครดิตของผู้กู้จะถูกบันทึกในระบบเครดิตบูโร ส่งผลให้การขอสินเชื่อในอนาคต เช่น สินเชื่อบ้านหรือรถยนต์ มีโอกาสถูกปฏิเสธ หรือได้รับอนุมัติวงเงินต่ำลง เพราะสถาบันการเงินมองว่าเป็นผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงดังนั้นหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ เหมือนการให้เพื่อนยืมเงิน หากเพื่อนคนนั้นเคยผิดนัดบ่อยๆ โอกาสที่เราจะให้ยืมอีกก็ย่อมลดลง เช่นเดียวกับสถาบันการเงินเช่นกัน

4. เสียความรู้สึกและกระทบสุขภาพจิต

เมื่อล่าช้าหรือผิดนัดชำระหนี้ ผู้กู้มักได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ติดตามทวงถาม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ ความกังวล หรือความเครียดสะสม หากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตในระยะยาวได้ อย่างไรก็ตาม การติดตามทวงถามหนี้ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ซึ่งกำหนดวิธีการและขอบเขตในการติดต่อทวงถามอย่างเป็นธรรม สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พ.ร.บ. นี้ได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง

ข้อควรรู้เพิ่มเติม

  • อัตราดอกเบี้ย ค่าปรับ และค่าใช้จ่ายอื่น ๆ ที่สถาบันการเงินเรียกเก็บ เป็นไปตามประกาศมาตรฐาน
  • ทุกสถาบันการเงินมีหน้าที่เปิดเผยข้อมูลอย่างชัดเจนที่สาขาและบนเว็บไซต์
  • การกำกับดูแลทั้งหมดอยู่ภายใต้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)

ก่อนตัดสินใจทำธุรกรรมหรือหากมีปัญหาการชำระหนี้ ควรตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยผิดเงื่อนไข ค่าปรับ และค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์สถาบันการเงิน หรือปรึกษาเจ้าหน้าที่โดยตรง

วิธีบริหารจัดการหนี้ให้ชำระตรงเวลา

การชำระหนี้ให้ตรงตามกำหนดเวลาเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่เพียงช่วยรักษาประวัติทางการเงินให้ดี แต่ยังหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ดอกเบี้ยผิดนัด และค่าธรรมเนียมในการติดตามทวงถามซึ่งในหลายกรณีผู้กู้มีเงินพร้อมชำระอยู่แล้ว เพียงแต่ “ลืมจ่าย” เท่านั้น โดยเฉพาะในสินเชื่อประเภทบัตรเครดิตหรือบัตรเงินด่วน

กรณีลืมชำระหนี้ (แม้มีเงินพร้อมจ่าย) ปัญหานี้สามารถแบ่งออกเป็น 2 สถานการณ์ย่อย พร้อมแนวทางแก้ไขดังนี้

1. ใช้วิธีการจ่ายเองผ่านแอปหรือเคาน์เตอร์สาขาของสถาบันการเงิน แสดงว่าเงินสดอาจจะตึงมืออยู่บ้าง แต่ยังจ่ายไหวอยู่ แนะนำให้ตั้งค่า “แจ้งเตือน” หรือ “alert” ที่โทรศัพท์มือถือ ควรตั้งแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนถึง วันครบกำหนด 3-5 วัน เพื่อเตือนให้ต้องไปจ่าย จากนั้น หากเริ่มหมุนเงินคล่องขึ้น แนะนำให้ทำหักบัญชีอัตโนมัติเพื่อชำระหนี้ ป้องกันการลืมจ่าย

2. กรณีมีบริการหักบัญชีอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่เงินเข้าบัญชีอื่น แนะนำให้ตั้งเวลา โอนเงินอัตโนมัติ จากบัญชีที่มีรายรับเข้าสู่บัญชีที่ผูกไว้กับระบบหักบัญชีอัตโนมัติ ซึ่งสามารถตั้งค่าผ่านแอปสถาบันการเงินได้ง่ายๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามีเงินพร้อมสำหรับตัดยอดตามกำหนด

กรณีจ่ายหนี้ล่าช้าเพราะหมุนเงินไม่ทัน (ขาดสภาพคล่อง) นี่คือสาเหตุที่พบบ่อยที่สุด และสามารถจำแนกได้เป็น 2 ระยะ คือ “ระยะสั้น” และ “ระยะยาว”

สาเหตุระยะสั้น เหตุการณ์ฉุกเฉินที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้าตัวอย่างเช่น คนในครอบครัวป่วยกะทันหัน หรือมีเหตุทุจริตในธุรกิจ แนะนำให้มี “วงเงินสำรอง” ไว้ล่วงหน้า ข้อควรระวังคือ ควรเตรียมวงเงินไว้ล่วงหน้า เพราะหากรอสมัครในช่วงเกิดเหตุฉุกเฉินจริง อาจต้องใช้เวลาอนุมัติ 1-3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับประเภทของสินเชื่อ

สาเหตุระยะยาว รายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อาจเกิดจากธุรกิจชะลอตัว หรือรายได้จากงานประจำลดลง เช่น ถูกปรับลดโอที ซึ่งแนวทางแก้ไขคือ

  • เปิดใจพูดคุยกับสถาบันการเงิน โดยเตรียมข้อมูลรายรับ-รายจ่าย และภาระหนี้ทั้งหมด เพื่อหาทางออกที่เหมาะสมร่วมกัน
  • แนวทางที่สถาบันการเงินอาจพิจารณา เช่น ปรับโครงสร้างหนี้ เปลี่ยนจากหนี้หมุนเวียนเป็นหนี้เงินก้อน ลดค่างวดผ่อนชำระในระยะสั้น และค่อยเพิ่มภายหลัง หรือ ขยายระยะเวลาการผ่อนชำระ

การเข้าพบสถาบันการเงินอย่างรวดเร็วเมื่อมีปัญหา จะช่วยให้ได้ทางออกที่เป็นธรรมสำหรับทั้งสองฝ่ายได้ดังนั้น การป้องกันการผิดนัดชำระหนี้เริ่มต้นที่ “การวางแผน” และ “การใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ” ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเตือน การหักบัญชีอัตโนมัติ หรือการเตรียมวงเงินสำรอง รวมถึงการไม่ละเลย เมื่อเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง เพราะการเข้าหารือกับสถาบันการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่ารอให้ปัญหาบานปลาย

คำแนะนำเพิ่มเติมในการบริหารเงิน เพื่อหลีกเลี่ยงการชำระหนี้ล่าช้า

1. เตรียมเงินสำรองฉุกเฉินให้เพียงพอ เช่นควรมีเงินสำรองเผื่อเหตุฉุกเฉินอย่างน้อย 6–12 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างทันท่วงที

  • ในมุมของธุรกิจเงินสำรอง จะช่วยให้ยังสามารถดำเนินกิจการต่อได้แม้เผชิญปัญหา เช่น การจ่ายค่าวัตถุดิบ ค่าแรงพนักงาน ค่าเช่าสถานที่ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และภาระหนี้สินต่างๆ หากขาดเงินสำรอง ธุรกิจอาจต้องหยุดชะงัก เสียโอกาสทางการตลาด หรือสูญเสียลูกค้าให้กับคู่แข่ง
  • ในมุมของบุคคลทั่วไป เงินสำรองมีไว้สำหรับใช้จ่ายจำเป็น เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง ค่าน้ำค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ และค่าผ่อนชำระหนี้ หากไม่มีเงินก้อนนี้ อาจต้องกู้ยืมจากบุคคลอื่นหรือพึ่งพาแหล่งเงินกู้นอกระบบ ซึ่งเสี่ยงต่อการตกอยู่ในภาวะหนี้สินเกินตัว

2. ปรับลดค่าใช้จ่ายอย่างมีสติ การลดค่าใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ทั้งในระดับธุรกิจและระดับบุคคล

  • สำหรับธุรกิจ ควรพิจารณาลดต้นทุนอย่างรอบคอบ เช่น ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เช่น ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อป หรือเปลี่ยนมาใช้หลอดไฟ LED ปรับรูปแบบการจ้างงาน เช่น ใช้บริการ Outsource หรือฟรีแลนซ์ในงาน ที่ไม่จำเป็นต้องมีพนักงานประจำ เช่น พนักงานส่งเอกสาร หรือควบคุมจำนวนชั่วโมง OT ต่อเดือน ให้เหมาะสม อย่างไรก็ตามการลดต้นทุนควรทำโดยไม่กระทบต่อคุณภาพสินค้าและคุณภาพชีวิตของพนักงาน
  • สำหรับบุคคลทั่วไป ควรลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็น เช่น ลดกิจกรรมสันทนาการ เช่น เล่นกอล์ฟจากเดือนละ 4 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง ปรับแพ็คเกจโทรศัพท์มือถือให้เหมาะกับการใช้งานจริง ลดการทานอาหารนอกบ้านหรือ ปรับพฤติกรรมการซื้อกาแฟ เป็นต้น

3. สร้างช่องทางเพิ่มรายได้ การเพิ่มรายได้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน

  • ในภาคธุรกิจ ควรเพิ่มความหลากหลายของสินค้า และช่องทางการขาย เช่น ขยายไลน์สินค้า เปิดขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ เช่น เว็บไซต์, Facebook, Instagram เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์พฤติกรรมผู้บริโภคที่เน้นความสะดวกสบาย
  • ในระดับบุคคล ผู้ที่มีงานประจำอยู่แล้วสามารถหารายได้เสริมได้ เช่น ทำงานพาร์ทไทม์ ขับส่งอาหาร (ไบค์เกอร์), ขายสินค้าออนไลน์ เช่น เสื้อผ้า กระเป๋า หรือของใช้มือสอง ผ่านการไลฟ์สดในช่องทางต่างๆ หลายคนเริ่มจากงานเสริมจนสามารถพัฒนาเป็นรายได้หลักได้ในระยะยาว

4. หลีกเลี่ยงการกู้เงินนอกระบบ แม้จะดูเป็นทางออกในระยะสั้น แต่การกู้เงินนอกระบบมีความเสี่ยงสูง ทั้งอัตราดอกเบี้ยที่แพงเกินจริง และวิธีการทวงหนี้ที่อาจละเมิดสิทธิ เช่น การข่มขู่ ประจาน หรือใช้ความรุนแรง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและความปลอดภัยในชีวิต

การชำระหนี้ล่าช้ามักเกิดจาก 2 สาเหตุหลัก ได้แก่ ลืมชำระแม้มีเงินพร้อมอยู่แล้ว หรือขาดสภาพคล่อง “หมุนเงินไม่ทัน” ซึ่งทั้งสองกรณีอาจนำไปสู่ผลเสียหลายประการ เช่น ดอกเบี้ยผิดนัด ค่าธรรมเนียมทวงถาม ประวัติเครดิตเสีย และส่งผลกระทบต่อจิตใจ

ดังนั้นการ วางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ มีวินัยในการใช้จ่าย ควบคู่กับการเตรียมเงินสำรอง และหาช่องทางเพิ่มรายได้ จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับปัญหาทางการเงินได้อย่างยั่งยืน หากเกิดปัญหาเหล่านี้

สามารถแก้ไขได้โดยการติดต่อมาขอคำปรึกษากับบริษัทได้เลย CCAP คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap , เบอร์โทร: 092-256-6801

สแกน QR Code เพื่อเพิ่มเพื่อน CCAP ได้เลย

Reference Link

© สงวนลิขสิทธิ์ 2565 เจริญสิน แคปปิตอล จำกัด
CALL CENTER  02 120 6624
phone-handset