การจัดการหนี้หลายก้อนอย่างมีประสิทธิภาพ

28 July 2025

ปัจจุบันสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 3 ปี 2565 พบว่าหนี้ครัวเรือนมีมูลค่าสูงถึง 87% ของ GDP หรือประมาณ 14.9 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค เช่น หนี้สินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิตคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของยอดหนี้ครัวเรือนทั้งหมด ต่างจากหลายประเทศที่หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มักจะเป็นหนี้เพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย

หลายครอบครัวในประเทศไทยมีภาระหนี้สินหลายก้อนในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดความซับซ้อนในการบริหารจัดการหนี้ รวมถึงปัญหาการชำระหนี้ไม่ทัน ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากขาดความรู้ในการวางแผนจัดการหนี้อย่างถูกวิธี เช่น ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นชำระหนี้จากก้อนที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน หรือลดภาระหนี้ก้อนเล็กที่สามารถปิดได้เร็ว เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและความสามารถในการจัดการหนี้ก้อนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น

ขั้นตอนการบริหารจัดการหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบเพื่อให้การจัดการหนี้หลายก้อนได้ผลดีและยั่งยืน ควรเริ่มจากการวางแผนและจัดทำบัญชีการเงินของตัวเองอย่างละเอียด เพื่อให้เห็นภาพรวมและจัดลำดับความสำคัญของหนี้อย่างเหมาะสม ดังนี้

1. จัดทำบัญชีรายได้และค่าใช้จ่าย

การจดบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างละเอียดจะช่วยให้ทราบสถานะการเงินที่แท้จริงของครัวเรือน หากเป็นผู้ที่มีรายได้ประจำจะง่ายต่อการบันทึก แต่หากเป็นผู้ประกอบการหรือพ่อค้าแม่ค้าที่รายได้ไม่คงที่ ควรจดบันทึกเป็นรายวัน

และสรุปยอดรายรับ-รายจ่ายในแต่ละเดือน เพื่อให้เห็นว่ามีรายได้เท่าไร และค่าใช้จ่ายส่วนไหนสามารถลดได้ เช่น ลดการซื้อเครื่องดื่มฟุ่มเฟือย กิจกรรมสันทนาการ หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอื่น ๆ

2. จัดทำบัญชีทรัพย์สิน

การสำรวจทรัพย์สินที่มีอยู่ เช่น บ้าน ที่ดิน คอนโด รถยนต์ หรือของสะสมที่มีมูลค่า จะช่วยประเมินความมั่นคงทางการเงิน และพิจารณาว่าจะใช้ทรัพย์สินเหล่านี้อย่างไร เช่น ขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ หรือใช้เป็นหลักประกันเพื่อกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า

3. จัดทำบัญชีหนี้สิน

รวบรวมหนี้สินทั้งหมดที่มีทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ เรียงลำดับหนี้ตามอัตราดอกเบี้ย จากมากไปหาน้อย หรืออาจเลือกปิดหนี้ที่มียอดน้อยก่อน เพื่อสร้างแรงจูงใจและกำลังใจในการจัดการหนี้ เช่น หนี้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูงสุด ควรให้ความสำคัญในการชำระก่อน หนี้ในระบบที่เสียดอกเบี้ยต่ำกว่าค่อยตามมา

เมื่อมีหนี้หลายก้อน ควรจัดการอย่างไรให้เป็นระบบและยั่งยืน การมีหนี้สินหลายก้อนในเวลาเดียวกันเป็นสถานการณ์ที่สร้างความกดดันให้กับชีวิตทั้งในด้านการเงิน จิตใจ และความมั่นคงในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้สามารถทำได้อย่างเป็นระบบ หากเริ่มต้นด้วยความเข้าใจ และวางแผนที่ชัดเจน โดยมีแนวทางดังนี้

ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เมื่อตรวจสอบรายจ่ายแล้ว มักจะพบว่ามีค่าใช้จ่ายบางส่วนที่สามารถปรับลดได้ทันที เช่น:

  • ค่าสันทนาการ เช่น การดูหนัง ท่องเที่ยว หากลดลงครึ่งหนึ่ง อาจมีเงินเหลือใช้ถึง 1,000 บาทต่อเดือน
  • ค่าอาหารหรือเครื่องดื่มฟุ่มเฟือย เช่น การลดชานมไข่มุกจากวันละ 2 แก้ว เหลือ 1 แก้ว จะช่วยประหยัดได้ประมาณ 1,500 บาทต่อเดือน
  • ค่าโทรศัพท์หรือค่าเดินทาง ก็สามารถปรับให้เหมาะสมได้

อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ยังมีรายได้เพียงพอกับการผ่อนชำระ หากรายได้ไม่พอใช้จ่ายประจำวันและผ่อนหนี้ แนวทางนี้อาจไม่เพียงพอ ต้องดำเนินการร่วมกับแนวทางอื่น

เพิ่มรายได้ การหารายได้เสริมเป็นอีกทางเลือกที่ได้ผลดีในยุคปัจจุบัน เช่น

  • ขายสินค้าออนไลน์หรือไลฟ์สดขายของ ทั้งของใหม่และของมือสอง
  • ขายทรัพย์สินที่ไม่ได้ใช้งาน เช่น เสื้อผ้า รองเท้า กระเป๋า เครื่องประดับ รถมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น
  • รับจ้างงานอิสระหรือฟรีแลนซ์ หากมีทักษะเฉพาะทาง

ข้อควรระวังคือ ต้องบริหารเวลาให้ดี ไม่ให้กระทบกับงานประจำ และควรนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปใช้ในการชำระหนี้ทันที

เจรจากับเจ้าหนี้นอกระบบ (ถ้ามี) หนี้นอกระบบมักมีอัตราดอกเบี้ยสูงและเสี่ยงต่อการถูกข่มขู่ ใช้ความรุนแรง จึงควร

  • เจรจาขอลดดอกเบี้ย หรือขอขยายระยะเวลาชำระ
  • หากเจรจาไม่ได้ผล โดยเฉพาะกับเจ้าหนี้ที่ใช้ความรุนแรง ควรติดต่อหน่วยงานภาครัฐ เช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือศูนย์ดำรงธรรม เพื่อขอความช่วยเหลือทางกฎหมาย
  • ตามกฎหมาย เจ้าหนี้บุคคลธรรมดาห้ามคิดดอกเบี้ยเกิน 15% ต่อปี หากเกินกว่านี้สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้

เจรจากับเจ้าหนี้ในระบบ หลังจากจัดทำบัญชีรายรับ–รายจ่าย บัญชีทรัพย์สิน และบัญชีหนี้สินเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำข้อมูลเหล่านี้ไปเจรจากับเจ้าหนี้ในระบบ เช่น ธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยควรเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงสาเหตุของการเกิดหนี้ เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถช่วยพิจารณาแนวทางในการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสม โดยมีแนวทางหลักๆ เช่น

• ปรับลดอัตราดอกเบี้ยผ่านการรวมหนี้ (Debt Consolidation) ผู้กู้สามารถขอสินเชื่อใหม่เพื่อนำไปชำระหนี้เดิมทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเจ้าหนี้ลงเหลือเพียงรายเดียว และจัดการหนี้ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะหากมีทรัพย์สินปลอดภาระ เช่น ที่ดิน บ้าน อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม หรือรถยนต์ แนะนำให้นำไปเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ เนื่องจากจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสินเชื่อไม่มีหลักประกัน

ตัวอย่างอัตราดอกเบี้ย

  • ไม่มีหลักประกัน: MRR + 10% (ประมาณ 16.85%)
  • มีหลักประกัน: MRR + 5% (ประมาณ 11.85%)
  • เปรียบเทียบ : หากกู้เงินจำนวน 1,000,000 บาท การใช้หลักประกันจะช่วยประหยัดดอกเบี้ยได้ถึง 5% หรือประมาณ 50,000 บาทต่อปี (ประมาณ 4,167 บาทต่อเดือน)

หมายเหตุ: ควรตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยล่าสุดกับธนาคารก่อนการตัดสินใจ

ปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ (Restructuring Terms) สามารถขอเจรจาเพื่อปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในการชำระหนี้ เช่น

  • ลดจำนวนเงินที่ต้องผ่อนในช่วงเริ่มต้น
  • ชำระเฉพาะดอกเบี้ยในระยะเวลาชั่วคราว
  • ขอพักชำระหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยในช่วงเวลาหนึ่ง และกลับมาผ่อนตามปกติในภายหลัง
  • ขอแปลงหนี้จากบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด หรือสินเชื่อหมุนเวียน เป็นสินเชื่อที่มีการผ่อนชำระรายเดือนอย่างมีระยะเวลาแน่นอน เพื่อควบคุมค่าใช้จ่ายได้ดีขึ้น

ขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือญาติพี่น้อง แม้อาจเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่ในบางกรณี การขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิดอาจเป็นทางออกที่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย

  • ควรพูดความจริง เปิดเผยสถานการณ์อย่างตรงไปตรงมา
  • มีวินัยในการชำระคืน และยุติพฤติกรรมสร้างหนี้แบบเดิม เพื่อรักษาความไว้วางใจ

วางแผนชำระหนี้อย่างมีลำดับ เมื่อได้เงินจากแหล่งใดก็ตาม ควรวางแผนชำระหนี้ตามลำดับความสำคัญ

  • เริ่มจากเจ้าหนี้ที่คิดดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน
  • หากไม่สามารถชำระหมดได้ในคราวเดียว ให้ทยอยจ่ายอย่างมีระบบ

ปรับพฤติกรรมการใช้เงินและหลีกเลี่ยงหนี้นอกระบบ สิ่งสำคัญที่สุดคือการ เปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรมทางการเงิน เช่น

  • ยึดหลัก “ออมก่อนใช้”
  • ใช้จ่ายเท่าที่จำเป็น ไม่สร้างหนี้เพิ่มโดยไม่จำเป็น
  • หลีกเลี่ยงการกู้เงินนอกระบบโดยเด็ดขาด

หลังจากที่ได้รับเงินมา ไม่ว่าจะมาจากการขายทรัพย์สินที่มีอยู่ การขอกู้จากธนาคาร หรือการหยิบยืมจากคนในครอบครัว สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ควรทำคือ การนำเงินก้อนนั้นไปใช้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่โดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นการลดภาระดอกเบี้ย ที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน ซึ่งจะช่วยให้สามารถฟื้นฟูสถานะทางการเงินได้เร็วขึ้น

แต่หากไม่สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ในคราวเดียว ควรจัดลำดับความสำคัญของหนี้ โดยเริ่มจากหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน เช่น หนี้บัตรเครดิตหรือหนี้นอกระบบ จากนั้นค่อยชำระหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำลงตามลำดับ แนวทางนี้จะช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยในระยะยาว และทำให้ปลดหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ขณะเดียวกัน ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินไปพร้อมกัน โดยควรใช้จ่ายอย่างมีวินัย ซื้อเฉพาะของจำเป็น หลีกเลี่ยงการใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ และฝึกวินัยการออมเงินอย่างสม่ำเสมอด้วยหลัก “ออมก่อนใช้” เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้กับตัวเอง

ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ต้องหลีกเลี่ยงการกลับไปกู้หนี้นอกระบบซ้ำอีก เพราะแม้อาจดูเหมือนเป็นทางออกในช่วงเวลาฉุกเฉิน แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยความเสี่ยง ทั้งเรื่องดอกเบี้ยที่สูงผิดกฎหมาย และพฤติกรรมข่มขู่หรือใช้ความรุนแรงจากเจ้าหนี้

บางกลุ่ม ซึ่งอาจทำให้ปัญหาทางการเงินลุกลามและยากต่อการแก้ไขในอนาคต หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ CCAP คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap , เบอร์โทร: 092-256-6801

สแกน QR Code เพื่อเพิ่มเพื่อน CCAP ได้เลย

Reference Link

© สงวนลิขสิทธิ์ 2565 เจริญสิน แคปปิตอล จำกัด
CALL CENTER  02 120 6624
phone-handset