ทางรอดเมื่อเงินช็อต หมุนไม่ทัน กู้ที่ไหนถึงจะไหว?

11 August 2025

ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน และการดำเนินชีวิตหรือทำธุรกิจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา หลายคนคงเคยประสบกับสถานการณ์ที่เรียกว่า “ช็อตเงิน” หรือหมุนเงินไม่ทัน เช่น มีค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน รายได้เข้ามาไม่ตรงเวลา

หรืออยากเริ่มต้นทำธุรกิจแต่ไม่มีทุน ทุกกรณีเหล่านี้ล้วนต้องการ “เงินก้อน” เข้ามาช่วยพยุงสภาพคล่องไม่มากก็น้อย

ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการใช้จ่ายในเหตุฉุกเฉิน พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ต้องเพิ่มทุนหมุนเวียน ผู้ประกอบการที่ต้องการขยายกิจการ หรือคนทำอาชีพอิสระที่กำลังมองหาเงินทุนเริ่มต้น ทุกคนล้วนมีคำถามเดียวกันว่า “จะไปกู้ที่ไหนดี?” และ “ต้องเตรียมตัวอย่างไรให้กู้ผ่าน?”

ก่อนกู้ ต้องตอบให้ได้ 3 คำถามสำคัญ

1. อยากได้ “วงเงินกู้” เท่าไหร่?

เมื่อคุณต้องการขอสินเชื่อ คำถามแรกที่มักจะเจอคือ “ต้องการวงเงินเท่าไหร่?” แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากได้วงเงินมากที่สุดเท่าที่ธนาคารจะอนุมัติให้ แต่ในความเป็นจริง วงเงินที่ได้รับจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ความต้องการของผู้ขอกู้เพียงอย่างเดียว

สำหรับเจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบการรายย่อย หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ ซึ่งอาจยังไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ธนาคารก็มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มนี้โดยเฉพาะ คือ “สินเชื่อด่วนสำหรับผู้ประกอบการ”

สินเชื่อด่วนสำหรับผู้ประกอบการ

  • เหมาะสำหรับเจ้าของกิจการที่ต้องการเงินทุนเพื่อใช้ในการดำเนินธุรกิจ เช่น เพิ่มสต๊อกสินค้า หมุนเวียนรายจ่าย หรือขยายกิจการ
  • คุณสมบัติเบื้องต้น ต้องเป็นผู้ประกอบการที่มีการดำเนินธุรกิจจริง ต้องการวงเงินสินเชื่อเพื่อใช้ในธุรกิจ ไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันก็สามารถยื่นขอได้ (ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของธนาคาร)
  • การขอสินเชื่อให้สำเร็จ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการ “ขอวงเงินสูงสุด” แต่ขึ้นอยู่กับการประเมินความจำเป็นในการใช้เงิน ความสามารถในการชำระคืน และการมีเอกสารประกอบที่ชัดเจน เช่น รายรับ รายจ่าย หรือรายการเดินบัญชี

สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค

  • สำหรับผู้ที่ต้องการขอสินเชื่อเพื่อนำไปใช้จ่ายส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน ค่ารักษาพยาบาล ค่าเล่าเรียน หรือเหตุฉุกเฉินต่างๆ การยื่นขอสินเชื่อประเภทนี้กับสถาบันทางการเงิน สามารถทำได้ทั้งแบบมีหรือไม่มีหลักประกันขึ้นอยู่กับเงื่อนไข

วงเงินที่ได้รับจะมากหรือน้อย นั้นพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น รายได้ประจำของผู้ขอ, ภาระหนี้ที่มีอยู่, หลักประกัน (ถ้ามี), ความเร่งด่วนในการใช้เงิน วัตถุประสงค์ของการกู้ เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม

ก่อนขอสินเชื่อ ผู้กู้ควรถามตัวเองให้ชัดเจนว่า “ต้องการใช้เงินกู้นี้เพื่ออะไร?” และควรอธิบายวัตถุประสงค์ดังกล่าวให้สถาบันทางการเงินเข้าใจด้วย เพราะสถาบันการเงินจะใช้ข้อมูลนี้ในการประเมินความเหมาะสมของวงเงินและระยะเวลาการผ่อนชำระ

2. ทำอย่างไรถึงจะได้รับ “วงเงินกู้” ที่ต้องการ?

การขอสินเชื่อไม่ใช่เพียงแค่กรอกแบบฟอร์มหรือระบุจำนวนเงินที่ต้องการเท่านั้น เพราะถึงแม้จะยื่นเรื่องไปแล้ว แต่สถาบันทางการเงินอาจพิจารณาอนุมัติให้บางส่วน หรือในบางกรณีอาจไม่ได้รับอนุมัติเลย ดังนั้น การเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้านจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติ “วงเงินกู้” ที่เหมาะสมและตรงตามความต้องการมากขึ้น โดยมีหลักสำคัญที่ควรพิจารณา ดังนี้

เตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน
การจัดเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยตั้งแต่ต้นเป็นปัจจัยแรกที่ช่วยให้การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปเอกสารที่ควรเตรียม ได้แก่

เอกสารส่วนบุคคลของผู้กู้ : สำเนาบัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, ทะเบียนสมรส / ใบหย่า / ใบมรณบัตรของคู่สมรส, ใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล (ถ้ามี)

กรณีผู้กู้เป็นเจ้าของกิจการ : สำเนาทะเบียนการค้า, หนังสือรับรองบริษัทและวัตถุประสงค์, บริคณห์สนธิ, ทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น, เอกสารแสดงรายได้หรือการเงินของธุรกิจ : รายการเดินบัญชีธนาคารย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน, สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน, ใบเสร็จรับเงิน บิลการค้าหรือใบแจ้งหนี้ (ในกรณีค้าขาย) เอกสารเกี่ยวกับหลักประกัน (กรณีสินเชื่อแบบมีหลักประกัน) : สำเนาทะเบียนรถ, กรมธรรม์ประกันภัยชั้น 1, 2 หรือ 2+ (ถ้ามี)

หมายเหตุ : ขึ้นอยู่กับสถาบันทางการเงินอาจมีการร้องขอเอกสารเพิ่มเติมตามประเภทสินเชื่อ

ประเมินภาระหนี้สินปัจจุบัน
ก่อนจะขอสินเชื่อใหม่ ควรเช็กว่าในปัจจุบันมีภาระผ่อนอยู่เท่าไร และยังมีความสามารถเพียงพอที่จะผ่อนเพิ่มได้หรือไม่

ตัวอย่างเช่น : รายได้ต่อเดือน = 100,000 บาท, ภาระผ่อนปัจจุบัน = 10,000 บาท, โดยทั่วไปไม่ควรมีภาระหนี้รวมเกิน 40% ของรายได้ = 40,000 บาท

ดังนั้น คุณยังสามารถผ่อนชำระสินเชื่อใหม่ได้อีกไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน

หมายเหตุ: สัดส่วนภาระหนี้ที่ยอมรับได้ อาจแตกต่างกันตามประเภทของสินเชื่อ

ตรวจสอบพฤติกรรมการชำระหนี้ที่ผ่านมา
ประวัติการผ่อนชำระหนี้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการพิจารณาวงเงิน สถาบันทางการเงินจะพิจารณาจากประวัติการชำระหนี้ในระบบเครดิตบูโร เช่น เคยค้างชำระหรือไม่, มีการชำระล่าช้าหรือเปล่า, มีการปิดหนี้ครบถ้วนหรือไม่, รูปแบบการเดินบัญชีสม่ำเสมอหรือไม่

โดยเฉพาะในกรณีของสินเชื่อธุรกิจ การเดินบัญชีที่แสดงรายได้เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นหลักฐานชั้นดีที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผู้ขอสินเชื่อ

3. เตรียมตัวมาดีแต่กู้ไม่ผ่าน…ต้องทำอย่างไรต่อ?

“ทำไมกู้ไม่ผ่านทั้งที่เตรียมทุกอย่างแล้ว?” เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยเมื่อถูกปฏิเสธสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้ส่วนบุคคล หรือสินเชื่อธุรกิจ โดยสาเหตุของการไม่อนุมัตินั้นมักมาจากข้อมูลในอดีตหรือปัจจัยบางอย่างที่ผู้ขออาจไม่ทันได้สังเกต

หากคุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์นี้ อย่าเพิ่งท้อ ลองสำรวจสาเหตุที่เป็นไปได้ และปรับตัวตามแนวทางเหล่านี้ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ “การขอสินเชื่อครั้งหน้า” มีแนวโน้มผ่านมากขึ้น

เคยมีประวัติค้างชำระหนี้หรือผิดนัดชำระ
หากคุณมีประวัติเคยค้างชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้ บัตรเครดิต หรือสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ควรเริ่ม ฟื้นฟูเครดิต ของตนเองด้วยการชำระหนี้ตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ

แนะนำให้จ่ายตรงเวลา อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 12–24 เดือน เพื่อให้สถาบันการเงินเห็นความตั้งใจ และเชื่อมั่นว่าคุณมีวินัยทางการเงินมากขึ้นแล้ว

ไม่มีการหมุนเวียนเงินในบัญชีธนาคาร
โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยหรือเจ้าของกิจการ หากรายได้ส่วนใหญ่เป็นเงินสด หรือไม่ได้ฝากเงินเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้สถาบันทางการเงินไม่สามารถประเมินรายได้จริงได้

ควรปรับพฤติกรรมด้วยการ : นำเงินรายได้เข้าบัญชีทุกครั้ง, ใช้บัญชีธนาคารในการจ่ายค่าสินค้า ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของกิจการ, ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายควบคู่ไปด้วย ทำให้มีประวัติการเคลื่อนไหวบัญชี (statement) ที่ชัดเจนอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงรายได้

เอกสารไม่ครบถ้วนหรือส่งล่าช้า
เอกสารแสดงรายได้ถือเป็นหัวใจสำคัญในการพิจารณาสินเชื่อ เช่น สลิปเงินเดือน, หนังสือรับรองเงินเดือน, ใบแนบภาษี 50 ทวิ, รายการเดินบัญชีย้อนหลัง (จากทุกธนาคารที่ใช้), เอกสารทางการค้าของธุรกิจ เช่น บิลซื้อ–บิลขาย

หากเคยถูกปฏิเสธเพราะเอกสารไม่ครบ ควรรวบรวมใหม่ให้สมบูรณ์ และเว้นระยะการยื่นใหม่ตามที่สถาบันทางการเงินกำหนด เช่น สินเชื่อธุรกิจบางประเภทแนะนำให้เว้นอย่างน้อย 30 วันก่อนยื่นอีกครั้ง

มีบัตรเครดิตหลายใบ แม้ไม่ได้ใช้งาน
หลายคนเข้าใจผิดว่าถ้าไม่ได้ใช้บัตรเครดิต วงเงินจะไม่มีผลต่อการขอสินเชื่อ แต่ในความเป็นจริง สถาบันทางการเงินจะนับ วงเงินรวมของบัตรทั้งหมด เป็นภาระหนี้ที่ต้องพิจารณา

เพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติ ควรปิดบัตรเครดิตที่ไม่ได้ใช้งาน และลดจำนวนบัตรที่ถือครองให้น้อยลง เพราะบัตรที่ไม่จำเป็นอาจกลายเป็นตัวฉุดโอกาสทางการเงินโดยไม่รู้ตัว

ดังนั้น แม้การขอสินเชื่ออาจไม่สำเร็จในครั้งแรก แต่การเตรียมตัวที่ดีจะเพิ่มโอกาสให้มากขึ้นได้ ทั้งในด้านเอกสาร รายได้ และพฤติกรรมการเงิน โดยเฉพาะการเดินบัญชีอย่างสม่ำเสมอ และรักษาประวัติการชำระหนี้ให้ดี

จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาสถาบันการเงินได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตามการขอสินเชื่อ ควรปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของสถาบันทางการเงินหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของคุณ

และช่วยวางแผนให้พร้อมสำหรับการยื่นขอสินเชื่อในครั้งถัดไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากมีข้อสงสัยในการขอสินเชื่อ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ CCAP คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap , เบอร์โทร: 092-256-6801

สแกน QR Code เพื่อเพิ่มเพื่อน CCAP ได้เลย

Reference Link

© สงวนลิขสิทธิ์ 2565 เจริญสิน แคปปิตอล จำกัด
CALL CENTER  02 120 6624
phone-handset