ในโลกยุคใหม่ที่สภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน รายจ่ายในชีวิตประจำวันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่รายได้ของประชาชนทั่วไปกลับไม่ได้เพิ่มตาม การกู้ยืมเงินจึงกลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่หลายคนจำเป็นต้องพึ่งพา โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในครอบครัว หรือแม้แต่เงินลงทุนในธุรกิจ
แต่การกู้เงินนั้นมี “สองด้าน” ด้านหนึ่งอาจช่วยให้รอดพ้นจากปัญหาเฉพาะหน้า แต่อีกด้านหนึ่ง หากกู้โดยไม่มีการวางแผนและไม่เข้าใจต้นทุนที่แท้จริง ก็อาจนำไปสู่ภาวะหนี้ท่วมหัว และในที่สุดอาจกลายเป็น “หนี้เสีย” (Non-Performing Loan หรือ NPL) ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งตัวผู้กู้ ครอบครัว และระบบเศรษฐกิจโดยรวม
รายงานจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง “แนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน” เผยให้เห็นว่า หนี้ครัวเรือนของคนไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกและซับซ้อน โดยมีข้อเท็จจริง 8 ประการเกี่ยวกับ พฤติกรรมหนี้ของคนไทยที่ควรตระหนักสรุปได้ดังนี้
ลูกหนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน เช่น อัตราดอกเบี้ยจริง วิธีการคำนวณดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมแฝง สถาบันการเงินบางแห่งเสนอโปรโมชั่นผ่อนน้อย แต่ไม่แจ้งว่าต้องผ่อนนานขึ้นหลายปี หรือไม่ได้บอกถึงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) ซึ่งอาจสูงกว่าที่คิดไว้มาก
กว่า 62% ของครัวเรือนไทยไม่มีเงินสำรองเลย หากรายได้ลดลงเพียง 20% ก็จะไม่มีเงินพอชำระหนี้รายเดือน ต้องกู้เพิ่มจากแหล่งอื่นเพื่อดำรงชีวิต กลายเป็นหนี้ซ้อนหนี้ และเพิ่มความเสี่ยงทางการเงิน
ผู้สูงอายุจำนวนมากยังคงมีภาระหนี้ โดยเฉพาะหนี้จากสินเชื่อบัตรเครดิตที่เลือกจ่ายขั้นต่ำเท่านั้น ทำให้หนี้ไม่หมดเสียที และต้องเสียดอกเบี้ยสะสมเป็นจำนวนมาก
หนี้เรื้อรังแม้เข้าสู่กระบวนการศาล เกือบ 20% ของบัญชีหนี้เสียถูกฟ้องร้อง และในคดีเหล่านี้ 1 ใน 3 มีการยึดทรัพย์และขายทอดตลาดแล้ว แต่ยังไม่สามารถปิดหนี้ได้
หนี้นอกระบบยังแพร่หลาย จากการสำรวจ พบว่า 42% ของผู้ขอรับการช่วยเหลือมีหนี้นอกระบบเฉลี่ย 54,300 บาทต่อคน สาเหตุหลักคือเข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ ถูกปฏิเสธสินเชื่อ หรือเลือกกู้นอกระบบเพราะได้เงินเร็ว
คนรุ่นใหม่เริ่มเป็นหนี้เร็ว กลุ่มอายุ 25–29 ปี เกินครึ่งเป็นหนี้ และ 1 ใน 4 ของกลุ่มนี้เป็นหนี้เสีย สะท้อนว่าความรู้ทางการเงินยังไม่แพร่หลายพอในหมู่วัยทำงานเริ่มต้น
ภาระหนี้เกินศักยภาพทางรายได้ เกือบ 30% ของผู้ใช้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคล มีหนี้มากกว่า 4 บัญชี โดยวงเงินรวมสูงกว่ารายได้ถึง 10–25 เท่า ส่งผลให้ต้องใช้เงินเดือนมากกว่าครึ่งเพื่อจ่ายหนี้
การกู้เงินอย่างไม่เกินตัวไม่ได้หมายถึงการกู้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่หมายถึง “การกู้ในปริมาณที่เหมาะสม สอดคล้องกับความจำเป็น และสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองโดยไม่กระทบต่อคุณภาพชีวิตหรือกระแสเงินสดของกิจการ” ดังนั้น ก่อนตัดสินใจกู้เงินทุกครั้ง ควรพิจารณาอย่างรอบด้านในประเด็นต่อไปนี้
วัตถุประสงค์ของการกู้เงินมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นตัวกำหนดว่า ควรเลือกสินเชื่อประเภทใด และมีโครงสร้างการผ่อนชำระอย่างไรให้สอดคล้องกับลักษณะการใช้งาน เช่น
หลายคนคิดว่า หากสถาบันทางการเงินอนุมัติวงเงินสูง ก็ควรกู้ให้เต็มวงเงินไว้ก่อนเพื่อความอุ่นใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกู้มากเกินจำเป็น ไม่เพียงทำให้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้น แต่ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้นโดยไม่จำเป็น
ผู้กู้จำนวนไม่น้อยมักเลือกสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน เพราะมองว่าสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องจัดเตรียมเอกสารหรือทรัพย์สินเพิ่มเติมในการยื่นคำขอ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มักถูกมองข้าม คือ อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อประเภทนี้มักสูงกว่าสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น หากผู้กู้ มีทรัพย์สินที่สามารถใช้เป็นหลักประกันได้ เช่น ที่ดิน อาคาร หรือรถยนต์ ควรพิจารณานำมาใช้ในการขอกู้ เพราะจะช่วยให้ได้วงเงินอนุมัติที่สูงขึ้น เสียดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำลง และมีโอกาสได้รับการอนุมัติง่ายขึ้นในบางกรณี ดังนั้น การเลือกใช้สินเชื่ออย่างเหมาะสมกับสถานะและทรัพย์สินที่มี จะช่วยให้คุณลดต้นทุนทางการเงินและบริหารหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ก่อนตัดสินใจกู้เงินเพิ่มเติม ควรตรวจสอบภาระหนี้สินที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ โดยหลักการทั่วไป แนะนำว่า “ภาระผ่อนชำระทั้งหมดต่อเดือนไม่ควรเกิน 50% ของรายได้รวม” ตัวอย่างเช่น หากมีรายได้ประจำเดือนละ 20,000 บาท ภาระผ่อนชำระในแต่ละเดือนไม่ควรเกิน 10,000 บาท หากเกินกว่านี้ ถือว่าเสี่ยงต่อการก่อหนี้เกินตัว
ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินในอนาคต เช่น ชำระหนี้ล่าช้า ถูกปรับดอกเบี้ย หรือเสียประวัติเครดิตด้วย ฉะนั้น การประเมินภาระหนี้ที่แท้จริงของตนเองจึงเป็นสิ่งจำเป็นก่อนตัดสินใจกู้เงินใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่า การผ่อนชำระยังอยู่ในขอบเขตที่รับไหว และไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน
ดังนั้น การกู้เงินอย่างมีวินัยและรู้เท่าทันความสามารถทางการเงินของตนเอง คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้การเป็นหนี้ “ไม่เกินตัว” และสามารถเปลี่ยนหนี้สินให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายในชีวิตหรือธุรกิจ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนกู้เงินทุกครั้ง อย่าลืมถามตัวเองว่า กู้ไปทำอะไร? กู้เท่าไหร่ถึงพอดี? มีทรัพย์สินค้ำประกันหรือไม่? ภาระหนี้ที่มีอยู่มากเกินไปหรือยัง? หากสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนและมั่นใจ ก็สามารถกู้เงิน
ได้อย่างมีสติและมั่นคง ไม่เป็นภาระเกินตัวในระยะยาว หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อ CCAP คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz
LINE ID: @helloccap
เบอร์โทร: 092-256-6801