สำหรับผู้ประกอบการ SME ขนาดเล็ก ปัญหาในการกู้เงินมักไม่ได้อยู่ที่ความซับซ้อนของโครงการ แต่เกิดจากความกังวลใจว่าจะ “กู้ไม่ผ่าน” หรือถูกมองว่า “กู้ยาก” มากกว่า การยื่นกู้ให้สำเร็จจึงต้องอาศัยการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้านเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงิน หรือผู้ให้กู้มั่นใจว่าเรามีศักยภาพในการชำระหนี้คืนได้ตรงเวลาได้หรือไม่
ฉะนั้น เพื่อช่วยลดความกังวลและเพิ่มโอกาสในการอนุมัติ วันนี้เรามี 4 เทคนิคการเตรียมตัวก่อนกู้สินเชื่อ ที่จะช่วยให้ขั้นตอนการพิจารณาง่ายขึ้น และทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้มากกว่าเดิม
ก่อนยื่นกู้สินเชื่อ SME สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ การมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน ผู้ประกอบการต้องสามารถอธิบายให้สถาบันการเงินเข้าใจได้ว่าต้องการกู้เงินจำนวนเท่าไร แล้วเงินกู้ที่นำไปใช้มีเพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น ขยายธุรกิจหรือนำไปใช้หมุนเวียนในกิจการ และมีวิธีการบริหารรายได้ กระแสเงินสดอย่างไร เพื่อให้สามารถชำระหนี้คืนได้ตรงตามกำหนด
ดังนั้น การเตรียมข้อมูลเหล่านี้อย่างครบถ้วน ไม่เพียงช่วยลดข้อสงสัยของสถาบันทางการเงิน แต่ยังเพิ่มความน่าเชื่อถือ และทำให้การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น
สิ่งที่ธนาคารหรือผู้ให้กู้ต้องการเห็น คือการเดินบัญชีที่สะท้อนรายรับ–รายจ่ายของธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง หากมีการเดินบัญชีธุรกิจทุกเดือนเป็นประจำ จะช่วยยืนยันถึงความมีวินัยทางการเงินและเพิ่มโอกาสในการได้รับการอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น
เครดิตที่ดีคือปัจจัยสำคัญที่สร้างความน่าเชื่อถือให้กับผู้กู้ ดังนั้นไม่ควรปล่อยให้เกิดหนี้ค้างชำระ ไม่ว่าจะเป็นหนี้สินส่วนบุคคลหรือธุรกิจ เพราะข้อมูลเครดิตเหล่านี้จะถูกนำมาพิจารณาโดยตรงและสะท้อนถึงความสามารถในการบริหารจัดการทางการเงินของผู้กู้
เอกสารประกอบการกู้ถือเป็นหัวใจสำคัญ ควรเตรียมให้พร้อมทั้งเอกสารส่วนบุคคล (บัตรประชาชน ทะเบียนบ้าน เอกสารการเปลี่ยน ชื่อ–นามสกุล หรือการสมรส) และเอกสารทางการเงิน เช่น หนังสือรับรองเงินเดือน สลิปเงินเดือนรายการเดินบัญชีอย่างน้อย 3–6 เดือน การจัดเตรียมเอกสารครบถ้วนจะช่วยให้กระบวนการพิจารณาเร็วขึ้น
การมีหลักประกันเป็นสิ่งที่ช่วยเพิ่มความมั่นใจให้ผู้ให้กู้ ไม่ว่าจะเป็นเงินฝาก พันธบัตร ตั๋วเงิน หุ้นกู้ หรืออสังหาริมทรัพย์ หลักประกันเหล่านี้จะทำให้ธนาคารมั่นใจว่า หากผู้กู้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ผู้ให้กู้ยังมีทางเลือกในการชดเชยความเสี่ยงเช่น การนำหลักทรัพย์ไปขายทอดตลาดหรือให้ผู้ค้ำประกันชำระหนี้แทน
ดังนั้น การขอสินเชื่อ SME จะง่ายขึ้นหากผู้ประกอบการเตรียมตัวอย่างรอบคอบ เริ่มจากวางแผนธุรกิจชัดเจน ทั้งจำนวนเงินที่ต้องการกู้และวัตถุประสงค์การใช้เงินเดินบัญชีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสะท้อนถึงรายรับ–รายจ่าย และความน่าเชื่อถือรักษาเครดิตให้ดี ไม่ปล่อยให้เกิดหนี้ค้างชำระ จัดเตรียมเอกสารทางการเงินและเอกสารส่วนบุคคลให้ครบถ้วนมีหลักประกันที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการปล่อยกู้ เลือกสถาบันการเงินที่มีเงื่อนไขเหมาะสมและเข้าใจธุรกิจทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มโอกาสให้สินเชื่อได้รับการอนุมัติง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการเข้าถึงเงินทุนได้เร็วและมั่นใจมากขึ้นเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อ CCAP คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap , เบอร์โทร: 092-256-6801

หลายคนเมื่อได้ยินคำว่า “หนี้สิน” อาจรู้สึกกดดันหรือเครียด แต่ความจริงแล้ว “หนี้” ไม่ได้เป็นเรื่องแย่เสมอไป หากรู้จักวางแผนและบริหารจัดการอย่างถูกวิธี คุณก็สามารถใช้สินเชื่อให้เป็นประโยชน์ โดยไม่กระทบต่อสภาพคล่องทางการเงินในชีวิตประจำวัน
CCAP อยากชวนมนุษย์เงินเดือนมาทำความเข้าใจวิธีรับมือและพิชิตหนี้อย่างมีระบบ เริ่มจากการรู้จักความแตกต่างระหว่าง “หนี้ดี” และ “หนี้ที่ควรหลีกเลี่ยง” เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างรอบคอบและมั่นใจก่อนกู้ทุกครั้ง ว่าหนี้ที่คุณเลือกนั้นจะช่วยเสริม ไม่ใช่ถ่วงทางการเงินของคุณ
หนี้ดี (Good Debt) คือ ภาระหนี้ที่เมื่อคุณนำเงินที่กู้มาใช้แล้ว จะช่วย “เพิ่มมูลค่า” หรือ “สร้างรายได้” ให้กับคุณในอนาคต ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มศักยภาพของตัวเอง สร้างโอกาสทางอาชีพ หรือสร้างสินทรัพย์ที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามเวลาจุดสำคัญของหนี้ดี คือ ผลประโยชน์ที่ได้รับในระยะยาวมีมูลค่ามากกว่าดอกเบี้ยและค่าใช้จ่ายที่ต้องจ่ายคืน ทำให้หนี้ประเภทนี้เปรียบเสมือน “เครื่องมือทางการเงิน” ไม่ใช่ภาระ ตัวอย่างของหนี้ดี เช่น
หนี้ที่ควรหลีกเลี่ยง (Bad Debt) หรือหนี้ที่พึงระวัง หมายถึง ภาระหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ทางการเงินในระยะยาว ไม่สามารถสร้างรายได้หรือเพิ่มมูลค่าให้กับคุณได้ และมักเป็นสาเหตุของปัญหาทางการเงิน เช่น ขาดสภาพคล่อง ขาดความสามารถในการผ่อนชำระ หรือเกิดภาระหนี้สินที่ไม่จำเป็น
หนี้ประเภทนี้อาจทำให้คุณรู้สึกเครียด มีภาระทางการเงินเพิ่มขึ้นโดยไม่คุ้มค่า และอาจกระทบต่อเป้าหมายทางการเงินในอนาคต ตัวอย่างหนี้ที่พึงระวัง
ถ้าไม่อยากให้ภาระหนี้หนักเกินไปจนกระทบชีวิตประจำวัน CCAP มีเคล็ดลับง่าย ๆ มาฝาก สิ่งสำคัญที่สุดคือควรรักษาสัดส่วนการผ่อนชำระหนี้ไม่ให้เกิน 45% ของรายได้ต่อเดือน เพื่อป้องกันการผ่อนไม่ไหวและรักษาสภาพคล่องทางการเงิน นอกจากนี้ ก่อนจะขอสินเชื่อหรือมีหนี้ ควรวางแผนอย่างรอบคอบโดยพิจารณาเรื่องต่อไปนี้
เมื่อมนุษย์เงินเดือนต้องเจอกับปัญหาการเงินติดขัด และยังต้องรับผิดชอบภาระหนี้ที่ต้องชำระ การจัดการอย่างถูกวิธีจะช่วยให้คุณผ่านวิกฤตนี้ไปได้อย่างมั่นคง CCAP มีเคล็ดลับดี ๆ มาแบ่งปันเพื่อช่วยคุณหาทางออก
การรวบหนี้ (Debt Consolidation) คือการนำหนี้หลายก้อน เช่น หนี้บ้าน หนี้รถ หรือหนี้บัตรเครดิต มารวมเป็นก้อนเดียว เพื่อให้จ่ายค่างวดเพียงครั้งเดียวต่อเดือน ลดความยุ่งยากในการจัดการ และช่วยให้ควบคุมการเงินได้ง่ายขึ้น
วิธีการคือ นำทรัพย์สิน เช่น บ้าน หรือรถยนต์ มาใช้เป็นหลักประกันขอสินเชื่อจากธนาคาร เพื่อนำเงินที่ได้ไปปิดหนี้เดิมทั้งหมด ในระหว่างนั้นคุณยังคงเป็นเจ้าของและสามารถใช้ทรัพย์สินได้ตามปกติ ซึ่งข้อดีของการรวบหนี้ นั้นมีหลายอย่างช่วยจ่ายหนี้เพียงก้อนเดียวได้ ไม่ต้องมาวุ่นวายกับหลายเจ้าหนี้ ทำให้ได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง ลดภาระค่าใช้จ่ายต่อเดือน ซึ่งทำให้การเงินกลับมามีสภาพคล่องและจัดการได้ง่ายขึ้น ถ้าเริ่มลงมือวันนี้ เพื่ออนาคตทางการเงินที่มั่นคงและสบายใจกว่าเดิม
ดังนั้น หนี้มีทั้งแบบดีที่ช่วยสร้างรายได้และโอกาสในอนาคต เช่น หนี้เพื่อการศึกษา บ้าน หรืออาชีพ และแบบที่ควรระวังอย่างหนี้ฟุ่มเฟือยที่ไม่ก่อประโยชน์ การจัดการหนี้ให้ไม่เกิน 45% ของรายได้และวางแผนก่อนกู้ด้วยการศึกษาประเภทสินเชื่อ ดอกเบี้ย และระยะเวลาผ่อนจะช่วยลดความเสี่ยง หากการเงินเริ่มตึงควรหยุดสร้างหนี้เพิ่มและใช้วิธีรวบหนี้เพื่อลดดอกเบี้ยและผ่อนง่ายขึ้น ทำให้การเงินกลับมามีสภาพคล่องและมั่นคงในระยะยาว
หากต้องการปรึกษาบริการสินเชื่อติดต่อ CCAP สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap , เบอร์โทร: 092-256-6801

สำหรับผู้ประกอบการ SME ขนาดเล็ก ปัญหาในการกู้เงินมักไม่ได้อยู่ที่ความซับซ้อนของโครงการ แต่เกิดจากความกังวลใจว่าจะ “กู้ไม่ผ่าน” หรือถูกมองว่า “กู้ยาก” มากกว่า การยื่นกู้ให้สำเร็จจึงต้องอาศัยการเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้านเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้สถาบันการเงิน หรือผู้ให้กู้มั่นใจว่าเรามีศักยภาพในการชำระหนี้คืนได้ตรงเวลาได้หรือไม่
ฉะนั้น เพื่อช่วยลดความกังวลและเพิ่มโอกาสในการอนุมัติ วันนี้เรามี 4 เทคนิคการเตรียมตัวก่อนกู้สินเชื่อ ที่จะช่วยให้ขั้นตอนการพิจารณาง่ายขึ้น และทำให้ผู้ประกอบการมั่นใจได้มากกว่าเดิม
ก่อนยื่นกู้สินเชื่อ SME สิ่งสำคัญอันดับแรกคือ การมีแผนธุรกิจที่ชัดเจน ผู้ประกอบการต้องสามารถอธิบายให้สถาบันการเงินเข้าใจได้ว่าต้องการกู้เงินจำนวนเท่าไร แล้วเงินกู้ที่นำไปใช้มีเพื่อวัตถุประสงค์ใด เช่น ขยายธุรกิจ หรือนำไปใช้หมุนเวียนในกิจการ และมีวิธีการบริหารรายได้ กระแสเงินสดอย่างไร เพื่อให้สามารถชำระหนี้คืนได้ตรงตามกำหนด
ดังนั้น การเตรียมข้อมูลเหล่านี้อย่างครบถ้วน ไม่เพียงช่วยลดข้อสงสัยของสถาบันทางการเงิน แต่ยังเพิ่มความน่าเชื่อถือ และทำให้การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปอย่างราบรื่นมากยิ่งขึ้น
ดังนั้น การขอสินเชื่อ SME จะง่ายขึ้นหากผู้ประกอบการเตรียมตัวอย่างรอบคอบ เริ่มจากวางแผนธุรกิจชัดเจน ทั้งจำนวนเงินที่ต้องการกู้และวัตถุประสงค์การใช้เงินเดินบัญชีอย่างสม่ำเสมอ เพื่อสะท้อนถึงรายรับ–รายจ่าย และความน่าเชื่อถือ
รักษาเครดิตให้ดี ไม่ปล่อยให้เกิดหนี้ค้างชำระ จัดเตรียมเอกสารทางการเงินและเอกสารส่วนบุคคลให้ครบถ้วนมีหลักประกันที่เหมาะสมเพื่อลดความเสี่ยงในการปล่อยกู้ เลือกสถาบันการเงินที่มีเงื่อนไขเหมาะสมและเข้าใจธุรกิจทั้งหมดนี้ช่วยเพิ่มโอกาสให้สินเชื่อได้รับการอนุมัติง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการเข้าถึงเงินทุนได้เร็วและมั่นใจมากขึ้นเพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นคงและยั่งยืน
หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อ CCAP คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap , เบอร์โทร: 092-256-6801

ในโลกยุคใหม่ที่สภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและไม่แน่นอน รายจ่ายในชีวิตประจำวันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ขณะที่รายได้ของประชาชนทั่วไปกลับไม่ได้เพิ่มตาม การกู้ยืมเงินจึงกลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่หลายคนจำเป็นต้องพึ่งพา โดยเฉพาะเมื่อเกิดเหตุฉุกเฉิน ไม่ว่าจะเป็นค่ารักษาพยาบาล ค่าใช้จ่ายในครอบครัว หรือแม้แต่เงินลงทุนในธุรกิจ
แต่การกู้เงินนั้นมี “สองด้าน” ด้านหนึ่งอาจช่วยให้รอดพ้นจากปัญหาเฉพาะหน้า แต่อีกด้านหนึ่ง หากกู้โดยไม่มีการวางแผนและไม่เข้าใจต้นทุนที่แท้จริง ก็อาจนำไปสู่ภาวะหนี้ท่วมหัว และในที่สุดอาจกลายเป็น “หนี้เสีย” (Non-Performing Loan หรือ NPL) ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งตัวผู้กู้ ครอบครัว และระบบเศรษฐกิจโดยรวม
รายงานจาก ธนาคารแห่งประเทศไทย เรื่อง “แนวทางการแก้ปัญหาหนี้ครัวเรือนอย่างยั่งยืน” เผยให้เห็นว่า หนี้ครัวเรือนของคนไทยเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่ฝังลึกและซับซ้อน โดยมีข้อเท็จจริง 8 ประการเกี่ยวกับ พฤติกรรมหนี้ของคนไทยที่ควรตระหนักสรุปได้ดังนี้
ลูกหนี้ส่วนใหญ่ไม่ได้รับข้อมูลที่ครบถ้วน เช่น อัตราดอกเบี้ยจริง วิธีการคำนวณดอกเบี้ย และค่าธรรมเนียมแฝง สถาบันการเงินบางแห่งเสนอโปรโมชั่นผ่อนน้อย แต่ไม่แจ้งว่าต้องผ่อนนานขึ้นหลายปี หรือไม่ได้บอกถึงอัตราดอกเบี้ยที่แท้จริง (Effective Rate) ซึ่งอาจสูงกว่าที่คิดไว้มาก
กว่า 62% ของครัวเรือนไทยไม่มีเงินสำรองเลย หากรายได้ลดลงเพียง 20% ก็จะไม่มีเงินพอชำระหนี้รายเดือน ต้องกู้เพิ่มจากแหล่งอื่นเพื่อดำรงชีวิต กลายเป็นหนี้ซ้อนหนี้ และเพิ่มความเสี่ยงทางการเงิน
ผู้สูงอายุจำนวนมากยังคงมีภาระหนี้ โดยเฉพาะหนี้จากสินเชื่อบัตรเครดิตที่เลือกจ่ายขั้นต่ำเท่านั้น ทำให้หนี้ไม่หมดเสียที และต้องเสียดอกเบี้ยสะสมเป็นจำนวนมาก
หนี้เรื้อรังแม้เข้าสู่กระบวนการศาล เกือบ 20% ของบัญชีหนี้เสียถูกฟ้องร้อง และในคดีเหล่านี้ 1 ใน 3 มีการยึดทรัพย์และขายทอดตลาดแล้ว แต่ยังไม่สามารถปิดหนี้ได้
หนี้นอกระบบยังแพร่หลาย จากการสำรวจ พบว่า 42% ของผู้ขอรับการช่วยเหลือมีหนี้นอกระบบเฉลี่ย 54,300 บาทต่อคน สาเหตุหลักคือเข้าไม่ถึงสินเชื่อในระบบ ถูกปฏิเสธสินเชื่อ หรือเลือกกู้นอกระบบเพราะได้เงินเร็ว
คนรุ่นใหม่เริ่มเป็นหนี้เร็ว กลุ่มอายุ 25–29 ปี เกินครึ่งเป็นหนี้ และ 1 ใน 4 ของกลุ่มนี้เป็นหนี้เสีย สะท้อนว่าความรู้ทางการเงินยังไม่แพร่หลายพอในหมู่วัยทำงานเริ่มต้น
ภาระหนี้เกินศักยภาพทางรายได้ เกือบ 30% ของผู้ใช้บัตรเครดิตหรือสินเชื่อบุคคล มีหนี้มากกว่า 4 บัญชี โดยวงเงินรวมสูงกว่ารายได้ถึง 10–25 เท่า ส่งผลให้ต้องใช้เงินเดือนมากกว่าครึ่งเพื่อจ่ายหนี้
การกู้เงินอย่างไม่เกินตัวไม่ได้หมายถึงการกู้ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่หมายถึง “การกู้ในปริมาณที่เหมาะสม สอดคล้องกับความจำเป็น และสอดคล้องกับความสามารถในการชำระหนี้ของตนเองโดยไม่กระทบต่อคุณภาพชีวิตหรือกระแสเงินสดของกิจการ” ดังนั้น ก่อนตัดสินใจกู้เงินทุกครั้ง ควรพิจารณาอย่างรอบด้านในประเด็นต่อไปนี้
วัตถุประสงค์ของการกู้เงินมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะจะเป็นตัวกำหนดว่า ควรเลือกสินเชื่อประเภทใด และมีโครงสร้างการผ่อนชำระอย่างไรให้สอดคล้องกับลักษณะการใช้งาน เช่น
หลายคนคิดว่า หากสถาบันทางการเงินอนุมัติวงเงินสูง ก็ควรกู้ให้เต็มวงเงินไว้ก่อนเพื่อความอุ่นใจ แต่ในความเป็นจริงแล้ว การกู้มากเกินจำเป็น ไม่เพียงทำให้มีภาระหนี้เพิ่มขึ้น แต่ยังต้องจ่ายดอกเบี้ยมากขึ้นโดยไม่จำเป็น
ผู้กู้จำนวนไม่น้อยมักเลือกสินเชื่อแบบไม่มีหลักประกัน เพราะมองว่าสะดวก รวดเร็ว ไม่ต้องจัดเตรียมเอกสารหรือทรัพย์สินเพิ่มเติมในการยื่นคำขอ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มักถูกมองข้าม คือ อัตราดอกเบี้ยของสินเชื่อประเภทนี้มักสูงกว่าสินเชื่อที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกันอย่างมีนัยสำคัญ
ดังนั้น หากผู้กู้ มีทรัพย์สินที่สามารถใช้เป็นหลักประกันได้ เช่น ที่ดิน อาคาร หรือรถยนต์ ควรพิจารณานำมาใช้ในการขอกู้ เพราะจะช่วยให้ได้วงเงินอนุมัติที่สูงขึ้น เสียดอกเบี้ยในอัตราที่ต่ำลง และมีโอกาสได้รับการอนุมัติง่ายขึ้นในบางกรณี ดังนั้น การเลือกใช้สินเชื่ออย่างเหมาะสมกับสถานะและทรัพย์สินที่มี จะช่วยให้คุณลดต้นทุนทางการเงินและบริหารหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
ก่อนตัดสินใจกู้เงินเพิ่มเติม ควรตรวจสอบภาระหนี้สินที่มีอยู่ในปัจจุบันว่าอยู่ในระดับที่เหมาะสมหรือไม่ โดยหลักการทั่วไป แนะนำว่า “ภาระผ่อนชำระทั้งหมดต่อเดือนไม่ควรเกิน 50% ของรายได้รวม” ตัวอย่างเช่น หากมีรายได้ประจำเดือนละ 20,000 บาท ภาระผ่อนชำระในแต่ละเดือนไม่ควรเกิน 10,000 บาท หากเกินกว่านี้ ถือว่าเสี่ยงต่อการก่อหนี้เกินตัว
ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาทางการเงินในอนาคต เช่น ชำระหนี้ล่าช้า ถูกปรับดอกเบี้ย หรือเสียประวัติเครดิตด้วย ฉะนั้น การประเมินภาระหนี้ที่แท้จริงของตนเองจึงเป็นสิ่งจำเป็นก่อนตัดสินใจกู้เงินใหม่ เพื่อให้แน่ใจว่า การผ่อนชำระยังอยู่ในขอบเขตที่รับไหว และไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายจำเป็นในชีวิตประจำวัน
ดังนั้น การกู้เงินอย่างมีวินัยและรู้เท่าทันความสามารถทางการเงินของตนเอง คือกุญแจสำคัญที่จะทำให้การเป็นหนี้ “ไม่เกินตัว” และสามารถเปลี่ยนหนี้สินให้กลายเป็นเครื่องมือทางการเงินที่ช่วยขับเคลื่อนเป้าหมายในชีวิตหรือธุรกิจ
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก่อนกู้เงินทุกครั้ง อย่าลืมถามตัวเองว่า กู้ไปทำอะไร? กู้เท่าไหร่ถึงพอดี? มีทรัพย์สินค้ำประกันหรือไม่? ภาระหนี้ที่มีอยู่มากเกินไปหรือยัง? หากสามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้อย่างชัดเจนและมั่นใจ ก็สามารถกู้เงิน
ได้อย่างมีสติและมั่นคง ไม่เป็นภาระเกินตัวในระยะยาว หากต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม สามารถติดต่อ CCAP คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz
LINE ID: @helloccap
เบอร์โทร: 092-256-6801

การขอสินเชื่อไฟแนนซ์เพื่อซื้อรถยนต์ ถือเป็นหนึ่งในวิธีการซื้อรถที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน เนื่องจากไม่จำเป็นต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในการซื้อรถในคราวเดียวกัน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับผู้ที่มีรายได้ประจำแต่ยังไม่มีเงินออมจำนวนมาก โดยสามารถเป็นเจ้าของรถได้ทันทีและผ่อนชำระเป็นรายเดือนได้ตามกำลัง
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่จะตัดสินใจยื่นขอสินเชื่อไฟแนนซ์เพื่อซื้อรถ ควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ 5 ประเด็นสำคัญที่ควรรู้ รวมถึงการเตรียมตัวให้พร้อมก่อนขอกู้ไฟแนนซ์อย่างละเอียด เพื่อให้กระบวนการขอสินเชื่อและการซื้อรถเป็นไปอย่างราบรื่นและไม่มีสะดุด
ในบทความนี้ CCAP ได้รวบรวมข้อมูลสำคัญที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับการขอไฟแนนซ์ซื้อรถ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่ผู้ขอกู้ควรทราบ และแนวทางในการเตรียมตัวก่อนยื่นกู้สินเชื่อรถยนต์ เพื่อให้ผู้ที่มีแผนจะซื้อรถสามารถเตรียมพร้อมได้อย่างมั่นใจและได้รับข้อเสนอที่เหมาะสมที่สุด อย่าพลาดหากคุณกำลังวางแผนจะซื้อรถในเร็วๆ นี้!
สำหรับข้อมูลที่ควรทราบก่อนวางแผนกู้ไฟแนนซ์เพื่อซื้อรถยนต์ ซึ่ง CCAP ได้รวบรวมไว้ในบทความนี้ จะช่วยให้คุณมีความเข้าใจมากยิ่งขึ้น และสามารถตัดสินใจได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นเมื่อจะซื้อรถ โดยมีทั้งหมด 5 ประเด็นสำคัญที่ควรรู้ ดังต่อไปนี้
1. ตรวจสอบและเปรียบเทียบราคารถก่อนตัดสินใจซื้อ
ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ ไม่ว่าจะเป็นรถใหม่หรือรถมือสอง ควรศึกษาข้อมูลราคารถให้รอบด้าน เพื่อใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างมีประสิทธิภาพ หากคุณกำลังมองหารถใหม่ ควรเปรียบเทียบราคาของรถแต่ละรุ่น พร้อมทั้งพิจารณาค่าเสื่อมราคาที่จะเกิดขึ้นในแต่ละปี รวมถึงราคาขายต่อในอนาคต เพื่อประเมินความคุ้มค่าในระยะยาว
สำหรับผู้ที่ต้องการซื้อรถมือสอง การเปรียบเทียบราคารถจากผู้ขายหลายรายจะช่วยให้คุณมีโอกาสได้รถในราคาที่เหมาะสมมากขึ้น อย่างไรก็ตาม เพื่อให้มั่นใจว่าราคาที่ได้รับนั้นสอดคล้องกับราคาตลาดและไม่สูงเกินไป คุณสามารถตรวจสอบข้อมูลราคากลางรถยนต์มือสองได้
2. ทำความเข้าใจประเภทสินเชื่อที่ใช้ในการซื้อรถ
หลังจากที่คุณได้พิจารณาและเปรียบเทียบราคารถทั้งป้ายแดงและรถมือสองเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนถัดไปคือการทำความเข้าใจประเภทของสินเชื่อที่ใช้สำหรับการซื้อรถ ซึ่งโดยทั่วไปแล้วการซื้อรถยนต์จะมีอยู่ 2 ทางเลือกหลัก ได้แก่
โดยทั่วไปแล้ว ราคารถยนต์มือสองมักจะต่ำกว่ารถป้ายแดง แต่หากพิจารณาในแง่ของการขอสินเชื่อ จะพบว่าอัตราดอกเบี้ยของรถมือสองมักจะสูงกว่ารถใหม่ เนื่องจากมีการคิดเผื่อค่าเสื่อมราคาจากการใช้งานมาแล้ว
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจซื้อรถยนต์ ควรพิจารณาให้รอบคอบว่าแบบใดเหมาะสมกับความต้องการและศักยภาพทางการเงินของตน พร้อมทั้งอย่าลืมคำนวณค่าใช้จ่ายรวมทั้งหมดและค่างวดรายเดือน เพื่อวางแผนการผ่อนชำระให้สอดคล้องกับรายรับ และลดความเสี่ยงในการเกิดภาระหนี้เกินตัว
3. ประเมินค่าใช้จ่ายที่ตามมาหลังการออกรถ
การซื้อรถยนต์ถือเป็นภาระทางการเงินที่สำคัญ เพราะเมื่อออกรถแล้ว ผู้ซื้อจะต้องผ่อนชำระค่างวดรายเดือนต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 4 – 7 ปี ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขของสินเชื่อที่เลือกใช้ นอกจากนี้ยังมีค่าใช้จ่ายแฝงที่มาพร้อมกับการครอบครองรถอีกมากมาย
ไม่ว่าจะเป็นค่าดูแลรักษา ค่าตรวจสภาพรถประจำปี ค่าประกันภัยรถยนต์ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการใช้งานประจำวัน เช่น ค่าน้ำมัน ค่าจอดรถ และค่าทางด่วน เป็นต้น
ดังนั้น ก่อนตัดสินใจออกรถ ควรประเมินความพร้อมทางการเงินของตนเองอย่างรอบคอบ ว่ามีความสามารถในการรับภาระค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้เพียงพอหรือไม่ รวมถึงควรมีการวางแผนทางการเงินล่วงหน้า เช่น การเตรียมเงินดาวน์ให้เพียงพอ
การจัดการหนี้สินที่มีอยู่เดิมให้เรียบร้อย และตรวจสอบว่ารายได้ที่มีอยู่นั้นสามารถรองรับค่าใช้จ่ายทั้งหมดได้อย่างเหมาะสม เพื่อไม่ให้การมีรถกลายเป็นภาระที่เกินกำลังในระยะยาว
4. วางแผนการผ่อนชำระสินเชื่อรถยนต์อย่างรอบคอบ
เมื่อคุณตัดสินใจกู้ไฟแนนซ์เพื่อซื้อรถ สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาคือการวางแผนการผ่อนชำระให้เหมาะสมกับรายได้และภาระค่าใช้จ่ายของตนเอง โดยขั้นตอนแรกคือการวางเงินดาวน์จากราคารถยนต์ ซึ่งยอดที่เหลือหลังจากหักเงินดาวน์จะกลายเป็น “ยอดจัดไฟแนนซ์” ที่คุณจะต้องขอสินเชื่อจากสถาบันการเงิน
สถาบันการเงินจะนำยอดจัดไฟแนนซ์ไปคำนวณร่วมกับอัตราดอกเบี้ยและระยะเวลาการผ่อนชำระ เพื่อกำหนดเป็นค่างวดรายเดือนที่คุณต้องจ่าย ดังนั้น หากคุณสามารถวางเงินดาวน์ในจำนวนที่มากขึ้นได้ ก็จะช่วยลดยอดจัดไฟแนนซ์
ทำให้สถาบันการเงินมองว่าคุณมีความเสี่ยงต่ำลง โอกาสได้รับอนุมัติสินเชื่อจึงสูงขึ้น และยังส่งผลให้จ่ายดอกเบี้ยน้อยลง รวมถึงค่างวดรายเดือนก็จะเบาลงด้วย
อย่างไรก็ตาม การวางเงินดาวน์ในจำนวนน้อยก็มีข้อดีเช่นกัน โดยเฉพาะในกรณีที่คุณไม่ต้องการใช้เงินก้อนจำนวนมากในช่วงแรก ซึ่งช่วยให้สามารถนำเงินไปใช้ในเรื่องที่จำเป็นอื่นๆ ได้มากกว่า และสามารถเลือกผ่อนชำระในระยะเวลาที่ยาวขึ้น
เพื่อให้ภาระรายเดือนเหมาะสมกับกำลังทรัพย์ ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเลือกดาวน์มากหรือน้อย สิ่งสำคัญที่สุดคือการวางแผนให้สอดคล้องกับสภาพคล่องทางการเงินและเป้าหมายชีวิตของคุณเอง
5. เตรียมความพร้อมก่อนยื่นขอไฟแนนซ์ซื้อรถ
ก่อนที่จะยื่นขอสินเชื่อไฟแนนซ์เพื่อซื้อรถยนต์ การเตรียมความพร้อมทั้งด้านการเงินและเอกสารถือเป็นขั้นตอนสำคัญที่จะช่วยให้การขอสินเชื่อเป็นไปอย่างราบรื่นและมีโอกาสได้รับอนุมัติสูงขึ้น โดยสิ่งที่ควรเตรียมมีดังนี้
หลังจากที่คุณได้ทราบข้อมูลสำคัญที่ควรรู้ก่อนยื่นกู้ไฟแนนซ์เพื่อซื้อรถกันไปแล้ว หลายคนอาจยังมีคำถามว่า ควรเตรียมตัวอย่างไรให้การยื่นขอสินเชื่อผ่านได้อย่างราบรื่นตั้งแต่ครั้งแรก CCAP ไม่พลาดที่จะรวบรวมข้อมูลที่เป็นประโยชน์ เพื่อช่วยให้คุณเตรียมความพร้อมได้อย่างมั่นใจ โดยมี 4 สิ่งสำคัญในการเตรียมตัวก่อนขอไฟแนนซ์ซื้อรถ ดังต่อไปนี้
เตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนยื่นขอสินเชื่อ
การจัดเตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและถูกต้องถือเป็นขั้นตอนสำคัญในการยื่นขอไฟแนนซ์ซื้อรถ เนื่องจากเอกสารเหล่านี้จะเป็นข้อมูลหลักที่สถาบันการเงินใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ ดังนั้นผู้ขอสินเชื่อจึงควรตรวจสอบและ เตรียมเอกสารให้พร้อมก่อนยื่นเรื่อง โดยเอกสารพื้นฐานที่จำเป็นประกอบด้วย
ทั้งนี้ หากสถาบันการเงินร้องขอให้มีผู้ค้ำประกัน ผู้ค้ำจะต้องจัดเตรียมเอกสารชุดเดียวกันเช่นกัน การมีเอกสารครบถ้วนตั้งแต่ต้นจะช่วยให้กระบวนการพิจารณาเป็นไปอย่างรวดเร็ว และเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อได้มากยิ่งขึ้น
มีรายได้หมุนเวียนอย่างสม่ำเสมอ
รายได้ที่มั่นคงและต่อเนื่องถือเป็นปัจจัยสำคัญที่สถาบันการเงินใช้ในการพิจารณาความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ขอสินเชื่อ สำหรับพนักงานประจำที่มีเงินเดือนแน่นอนทุกเดือน จะมีข้อได้เปรียบในการขอไฟแนนซ์
เนื่องจากมีรายได้ประจำที่ตรวจสอบได้ง่าย นอกจากนี้ ไฟแนนซ์อาจนำรายได้เสริมอื่นๆ เช่น โบนัส รายได้จากการทำโอที หรือคอมมิชชั่น มาพิจารณาร่วมด้วย ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อมากขึ้น
ในกรณีของเจ้าของกิจการ แม้จะไม่มีรายได้ในรูปแบบเงินเดือน แต่หากสามารถแสดงหลักฐานรายได้ที่สม่ำเสมอ พร้อมเอกสารประกอบที่ชัดเจน เช่น หนังสือรับรองบริษัทหรือรายการเดินบัญชีที่แสดงรายรับอย่างต่อเนื่อง
รักษาสถานะเครดิตให้ดีอยู่เสมอ
ประวัติการชำระหนี้ หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า “เครดิตบูโร” เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่สถาบันการเงินใช้ประกอบการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อ โดยทั่วไปแล้ว ไฟแนนซ์จะตรวจสอบข้อมูลเครดิตของคุณผ่านบริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ จำกัด (เครดิตบูโร)
หากพบว่าคุณมีประวัติค้างชำระ ผิดนัดชำระ หรือชำระล่าช้าอย่างต่อเนื่อง อาจทำให้การขอสินเชื่อถูกปฏิเสธ หรือได้รับเงื่อนไขที่ไม่เอื้ออำนวย
การรักษาสถานะเครดิตให้ดีจึงเป็นเรื่องสำคัญ โดยควรชำระหนี้ทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นบัตรเครดิต บัตรกดเงินสด สินเชื่อบุคคล หรือสินเชื่อบ้าน ให้ตรงเวลาสม่ำเสมอ รวมถึงควรหลีกเลี่ยงการผิดนัดชำระเกิน 90 วัน เพราะจะส่งผลเสียต่อคะแนนเครดิตอย่างมาก
การมีประวัติเครดิตที่ดี ไม่เพียงช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติสินเชื่อเท่านั้น แต่ยังอาจทำให้คุณได้รับข้อเสนอสินเชื่อที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายในระยะยาวได้อีกด้วย
กำหนดยอดผ่อนชำระให้เหมาะสมกับรายได้
การเลือกรถยนต์และกำหนดยอดผ่อนชำระให้เหมาะสมกับรายได้ที่มีอยู่ เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการวางแผนขอสินเชื่อให้ประสบความสำเร็จ โดยทั่วไปแล้วยอดผ่อนรถยนต์ที่เหมาะสมไม่ควรเกิน 25-30% ของรายได้/เดือน และควรมีรายได้
รวมมากกว่ายอดผ่อนอย่างน้อย 2 เท่า เพื่อให้สถาบันการเงินมองว่าคุณมีศักยภาพในการผ่อนชำระและมีโอกาสได้รับการอนุมัติสินเชื่อสูงขึ้น
ตัวอย่างเช่น หากคุณมีรายได้ 30,000 บาท/เดือน ค่างวดรถที่เหมาะสมควรอยู่ที่ประมาณ 7,500 – 9,000 บาทต่อเดือน หากคำนวณแล้วยอดผ่อนเกินกว่านี้ อาจพิจารณาเพิ่มจำนวนเงินดาวน์เพื่อลดภาระค่างวด หรือเลือกซื้อรถยนต์รุ่นที่มี
ราคาย่อมเยากว่า เพื่อให้ยอดผ่อนอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับรายได้และไม่กระทบต่อค่าใช้จ่ายประจำในชีวิตประจำวัน
1. ขอสินเชื่อกู้ซื้อรถยากไหม?
ไม่ยาก หากเตรียมตัวให้พร้อม โดยมีรายได้มั่นคง เครดิตดี และเอกสารครบถ้วน ธนาคารจะพิจารณาจากความสามารถในการผ่อนชำระ ประวัติทางการเงิน และมูลค่าของรถ หากคุณมีคุณสมบัติตรงตามเกณฑ์ โอกาสได้รับอนุมัติถือว่าสูง
2. กู้ไฟแนนซ์ซื้อรถต้องใช้อะไรบ้าง?
เอกสารสำคัญที่ต้องเตรียม ได้แก่ สำเนาบัตรประชาชน, สำเนาทะเบียนบ้าน, สลิปเงินเดือน(หนังสือรับรองรายได้), Statement บัญชีย้อนหลัง 6 เดือน, สำเนาใบขับขี่ (บางกรณี) อาจต้องมีผู้ค้ำประกันหรือหลักประกันอื่น ขึ้นอยู่กับแต่ละสถาบันการเงิน
3. ทำอย่างไรให้กู้ผ่านง่ายขึ้น?
– รักษาประวัติเครดิตให้ดี ชำระหนี้ตรงเวลา
– มีรายได้มั่นคงและเพียงพอ
– เตรียมเอกสารครบถ้วน ถูกต้อง
– เลือกรถและวงเงินกู้ให้เหมาะกับรายได้
– มีเงินดาวน์อย่างน้อย 20–25% ของราคารถ
– หากจำเป็น ควรมีผู้ค้ำประกันที่น่าเชื่อถือ
4. ธนาคารพิจารณาอะไรบ้างในการอนุมัติ?
– ประวัติเครดิตจากเครดิตบูโร
– รายได้และภาระหนี้รวม
– ความมั่นคงของอาชีพ (เช่น อายุงาน ตำแหน่ง)
– ราคาหรือสภาพรถที่ต้องการซื้อ
– เอกสารประกอบการกู้ว่าถูกต้องครบถ้วนหรือไม่
– ประวัติการทำธุรกรรมกับธนาคาร (ถ้ามี)
5. ปัจจัยที่ทำให้กู้ไม่ผ่านมีอะไรบ้าง?
– เครดิตบูโรไม่ดี ผิดนัดชำระหนี้
– รายได้ไม่เพียงพอหรือไม่แน่นอน
– ภาระหนี้รวมสูงเกินไป
– เอกสารไม่ครบหรือข้อมูลไม่ตรง
– อายุงานน้อย ประสบการณ์ไม่เพียงพอ
– เลือกรถที่ราคาสูงเกินศักยภาพ
– ไม่มีประวัติธุรกรรมที่สม่ำเสมอ
ฉะนั้น การกู้ไฟแนนซ์ซื้อรถเป็นทางเลือกยอดนิยมที่ช่วยให้ผู้ซื้อสามารถเป็นเจ้าของรถได้โดยไม่ต้องใช้เงินก้อนใหญ่ในคราวเดียว แต่การจะขอสินเชื่อให้ผ่านไม่ใช่แค่มีรายได้อย่างเดียว จำเป็นต้องเตรียมความพร้อมรอบด้าน
ทั้งการมีรายได้สม่ำเสมอ ประวัติเครดิตดี และกำหนดยอดผ่อนที่เหมาะสมกับรายได้ เพื่อให้ธนาคารมั่นใจในความสามารถในการผ่อนชำระของคุณ
นอกจากนี้ ยังควรเตรียมเอกสารให้ครบถ้วน เลือกรถยนต์ให้เหมาะกับกำลังทรัพย์ และวางแผนเงินดาวน์ให้เพียงพอ เพราะทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ช่วยเพิ่มโอกาสในการอนุมัติสินเชื่อได้ง่ายขึ้น
และหากยังมีคำถามหรือข้อสงสัยเกี่ยวกับการกู้ซื้อรถ บทความนี้ยังได้รวบรวมคำถามพบบ่อย พร้อมคำตอบที่ชัดเจน เพื่อให้คุณสามารถเตรียมตัวล่วงหน้าได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอกสารที่ใช้ รายได้ที่เหมาะสม หรือปัจจัยที่อาจทำให้สินเชื่อไม่ผ่าน
ดังนั้น หากคุณกำลังวางแผนจะซื้อรถใหม่ อย่าลืมตรวจเช็กลิสต์เหล่านี้ให้ครบ เพื่อให้การกู้ไฟแนนซ์ของคุณผ่านฉลุย และเป็นเจ้าของรถในฝันได้อย่างสบายใจและมั่นคงทางการเงินในระยะยาว
CCAP มีบริการให้สินเชื่อรถยนต์ หากต้องการปรึกษาหรือมีข้อสงสัยในการขอสินเชื่อ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ CCAP คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap , เบอร์โทร: 092-256-6801

ในยุคที่เศรษฐกิจผันผวน และการดำเนินชีวิตหรือทำธุรกิจต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนอยู่ตลอดเวลา หลายคนคงเคยประสบกับสถานการณ์ที่เรียกว่า “ช็อตเงิน” หรือหมุนเงินไม่ทัน เช่น มีค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน รายได้เข้ามาไม่ตรงเวลา
หรืออยากเริ่มต้นทำธุรกิจแต่ไม่มีทุน ทุกกรณีเหล่านี้ล้วนต้องการ “เงินก้อน” เข้ามาช่วยพยุงสภาพคล่องไม่มากก็น้อย
ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ต้องการใช้จ่ายในเหตุฉุกเฉิน พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ที่ต้องเพิ่มทุนหมุนเวียน ผู้ประกอบการที่ต้องการขยายกิจการ หรือคนทำอาชีพอิสระที่กำลังมองหาเงินทุนเริ่มต้น ทุกคนล้วนมีคำถามเดียวกันว่า “จะไปกู้ที่ไหนดี?” และ “ต้องเตรียมตัวอย่างไรให้กู้ผ่าน?”
เมื่อคุณต้องการขอสินเชื่อ คำถามแรกที่มักจะเจอคือ “ต้องการวงเงินเท่าไหร่?” แน่นอนว่าใครๆ ก็อยากได้วงเงินมากที่สุดเท่าที่ธนาคารจะอนุมัติให้ แต่ในความเป็นจริง วงเงินที่ได้รับจะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ไม่ใช่แค่ความต้องการของผู้ขอกู้เพียงอย่างเดียว
สำหรับเจ้าของธุรกิจ ผู้ประกอบการรายย่อย หรือผู้ที่เพิ่งเริ่มต้นทำธุรกิจ ซึ่งอาจยังไม่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน ธนาคารก็มีผลิตภัณฑ์สินเชื่อที่ออกแบบมาเพื่อรองรับความต้องการของกลุ่มนี้โดยเฉพาะ คือ “สินเชื่อด่วนสำหรับผู้ประกอบการ”
สินเชื่อด่วนสำหรับผู้ประกอบการ
สินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภค
วงเงินที่ได้รับจะมากหรือน้อย นั้นพิจารณาจากหลายปัจจัย เช่น รายได้ประจำของผู้ขอ, ภาระหนี้ที่มีอยู่, หลักประกัน (ถ้ามี), ความเร่งด่วนในการใช้เงิน วัตถุประสงค์ของการกู้ เป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม
ก่อนขอสินเชื่อ ผู้กู้ควรถามตัวเองให้ชัดเจนว่า “ต้องการใช้เงินกู้นี้เพื่ออะไร?” และควรอธิบายวัตถุประสงค์ดังกล่าวให้สถาบันทางการเงินเข้าใจด้วย เพราะสถาบันการเงินจะใช้ข้อมูลนี้ในการประเมินความเหมาะสมของวงเงินและระยะเวลาการผ่อนชำระ
การขอสินเชื่อไม่ใช่เพียงแค่กรอกแบบฟอร์มหรือระบุจำนวนเงินที่ต้องการเท่านั้น เพราะถึงแม้จะยื่นเรื่องไปแล้ว แต่สถาบันทางการเงินอาจพิจารณาอนุมัติให้บางส่วน หรือในบางกรณีอาจไม่ได้รับอนุมัติเลย ดังนั้น การเตรียมความพร้อมอย่างรอบด้านจะช่วยเพิ่มโอกาสในการได้รับอนุมัติ “วงเงินกู้” ที่เหมาะสมและตรงตามความต้องการมากขึ้น โดยมีหลักสำคัญที่ควรพิจารณา ดังนี้
เตรียมเอกสารให้ครบถ้วนและเป็นปัจจุบัน
การจัดเตรียมเอกสารให้เรียบร้อยตั้งแต่ต้นเป็นปัจจัยแรกที่ช่วยให้การพิจารณาสินเชื่อเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยทั่วไปเอกสารที่ควรเตรียม ได้แก่
เอกสารส่วนบุคคลของผู้กู้ : สำเนาบัตรประชาชน, ทะเบียนบ้าน, ทะเบียนสมรส / ใบหย่า / ใบมรณบัตรของคู่สมรส, ใบเปลี่ยนชื่อ-นามสกุล (ถ้ามี)
กรณีผู้กู้เป็นเจ้าของกิจการ : สำเนาทะเบียนการค้า, หนังสือรับรองบริษัทและวัตถุประสงค์, บริคณห์สนธิ, ทะเบียนรายชื่อผู้ถือหุ้น, เอกสารแสดงรายได้หรือการเงินของธุรกิจ : รายการเดินบัญชีธนาคารย้อนหลังอย่างน้อย 6 เดือน, สลิปเงินเดือน หรือหนังสือรับรองเงินเดือน, ใบเสร็จรับเงิน บิลการค้าหรือใบแจ้งหนี้ (ในกรณีค้าขาย) เอกสารเกี่ยวกับหลักประกัน (กรณีสินเชื่อแบบมีหลักประกัน) : สำเนาทะเบียนรถ, กรมธรรม์ประกันภัยชั้น 1, 2 หรือ 2+ (ถ้ามี)
หมายเหตุ : ขึ้นอยู่กับสถาบันทางการเงินอาจมีการร้องขอเอกสารเพิ่มเติมตามประเภทสินเชื่อ
ประเมินภาระหนี้สินปัจจุบัน
ก่อนจะขอสินเชื่อใหม่ ควรเช็กว่าในปัจจุบันมีภาระผ่อนอยู่เท่าไร และยังมีความสามารถเพียงพอที่จะผ่อนเพิ่มได้หรือไม่
ตัวอย่างเช่น : รายได้ต่อเดือน = 100,000 บาท, ภาระผ่อนปัจจุบัน = 10,000 บาท, โดยทั่วไปไม่ควรมีภาระหนี้รวมเกิน 40% ของรายได้ = 40,000 บาท
ดังนั้น คุณยังสามารถผ่อนชำระสินเชื่อใหม่ได้อีกไม่เกิน 30,000 บาทต่อเดือน
หมายเหตุ: สัดส่วนภาระหนี้ที่ยอมรับได้ อาจแตกต่างกันตามประเภทของสินเชื่อ
ตรวจสอบพฤติกรรมการชำระหนี้ที่ผ่านมา
ประวัติการผ่อนชำระหนี้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการพิจารณาวงเงิน สถาบันทางการเงินจะพิจารณาจากประวัติการชำระหนี้ในระบบเครดิตบูโร เช่น เคยค้างชำระหรือไม่, มีการชำระล่าช้าหรือเปล่า, มีการปิดหนี้ครบถ้วนหรือไม่, รูปแบบการเดินบัญชีสม่ำเสมอหรือไม่
โดยเฉพาะในกรณีของสินเชื่อธุรกิจ การเดินบัญชีที่แสดงรายได้เข้าออกอย่างสม่ำเสมอ จะเป็นหลักฐานชั้นดีที่ช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับผู้ขอสินเชื่อ
“ทำไมกู้ไม่ผ่านทั้งที่เตรียมทุกอย่างแล้ว?” เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยเมื่อถูกปฏิเสธสินเชื่อ ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้ส่วนบุคคล หรือสินเชื่อธุรกิจ โดยสาเหตุของการไม่อนุมัตินั้นมักมาจากข้อมูลในอดีตหรือปัจจัยบางอย่างที่ผู้ขออาจไม่ทันได้สังเกต
หากคุณกำลังเผชิญกับสถานการณ์นี้ อย่าเพิ่งท้อ ลองสำรวจสาเหตุที่เป็นไปได้ และปรับตัวตามแนวทางเหล่านี้ เพื่อเพิ่มโอกาสให้ “การขอสินเชื่อครั้งหน้า” มีแนวโน้มผ่านมากขึ้น
เคยมีประวัติค้างชำระหนี้หรือผิดนัดชำระ
หากคุณมีประวัติเคยค้างชำระหนี้ ไม่ว่าจะเป็นเงินกู้ บัตรเครดิต หรือสินเชื่อประเภทอื่น ๆ ควรเริ่ม ฟื้นฟูเครดิต ของตนเองด้วยการชำระหนี้ตรงเวลาอย่างสม่ำเสมอ
แนะนำให้จ่ายตรงเวลา อย่างต่อเนื่องอย่างน้อย 12–24 เดือน เพื่อให้สถาบันการเงินเห็นความตั้งใจ และเชื่อมั่นว่าคุณมีวินัยทางการเงินมากขึ้นแล้ว
ไม่มีการหมุนเวียนเงินในบัญชีธนาคาร
โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายย่อยหรือเจ้าของกิจการ หากรายได้ส่วนใหญ่เป็นเงินสด หรือไม่ได้ฝากเงินเข้าบัญชีอย่างสม่ำเสมอ จะทำให้สถาบันทางการเงินไม่สามารถประเมินรายได้จริงได้
ควรปรับพฤติกรรมด้วยการ : นำเงินรายได้เข้าบัญชีทุกครั้ง, ใช้บัญชีธนาคารในการจ่ายค่าสินค้า ค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ของกิจการ, ทำบัญชีรายรับ-รายจ่ายควบคู่ไปด้วย ทำให้มีประวัติการเคลื่อนไหวบัญชี (statement) ที่ชัดเจนอย่างน้อย 6 เดือน เพื่อใช้เป็นหลักฐานแสดงรายได้
เอกสารไม่ครบถ้วนหรือส่งล่าช้า
เอกสารแสดงรายได้ถือเป็นหัวใจสำคัญในการพิจารณาสินเชื่อ เช่น สลิปเงินเดือน, หนังสือรับรองเงินเดือน, ใบแนบภาษี 50 ทวิ, รายการเดินบัญชีย้อนหลัง (จากทุกธนาคารที่ใช้), เอกสารทางการค้าของธุรกิจ เช่น บิลซื้อ–บิลขาย
หากเคยถูกปฏิเสธเพราะเอกสารไม่ครบ ควรรวบรวมใหม่ให้สมบูรณ์ และเว้นระยะการยื่นใหม่ตามที่สถาบันทางการเงินกำหนด เช่น สินเชื่อธุรกิจบางประเภทแนะนำให้เว้นอย่างน้อย 30 วันก่อนยื่นอีกครั้ง
มีบัตรเครดิตหลายใบ แม้ไม่ได้ใช้งาน
หลายคนเข้าใจผิดว่าถ้าไม่ได้ใช้บัตรเครดิต วงเงินจะไม่มีผลต่อการขอสินเชื่อ แต่ในความเป็นจริง สถาบันทางการเงินจะนับ วงเงินรวมของบัตรทั้งหมด เป็นภาระหนี้ที่ต้องพิจารณา
เพื่อเพิ่มโอกาสในการอนุมัติ ควรปิดบัตรเครดิตที่ไม่ได้ใช้งาน และลดจำนวนบัตรที่ถือครองให้น้อยลง เพราะบัตรที่ไม่จำเป็นอาจกลายเป็นตัวฉุดโอกาสทางการเงินโดยไม่รู้ตัว
ดังนั้น แม้การขอสินเชื่ออาจไม่สำเร็จในครั้งแรก แต่การเตรียมตัวที่ดีจะเพิ่มโอกาสให้มากขึ้นได้ ทั้งในด้านเอกสาร รายได้ และพฤติกรรมการเงิน โดยเฉพาะการเดินบัญชีอย่างสม่ำเสมอ และรักษาประวัติการชำระหนี้ให้ดี
จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือในสายตาสถาบันการเงินได้ในระยะยาว อย่างไรก็ตามการขอสินเชื่อ ควรปรึกษากับเจ้าหน้าที่ของสถาบันทางการเงินหรือผู้เชี่ยวชาญ เพื่อรับคำแนะนำที่เหมาะสมกับสถานะทางการเงินของคุณ
และช่วยวางแผนให้พร้อมสำหรับการยื่นขอสินเชื่อในครั้งถัดไปอย่างมีประสิทธิภาพ หากมีข้อสงสัยในการขอสินเชื่อ สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่ CCAP คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap , เบอร์โทร: 092-256-6801

ปัจจุบันสถานการณ์หนี้ครัวเรือนไทย ณ ไตรมาส 3 ปี 2565 พบว่าหนี้ครัวเรือนมีมูลค่าสูงถึง 87% ของ GDP หรือประมาณ 14.9 ล้านล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นหนี้เพื่อการอุปโภคบริโภค เช่น หนี้สินเชื่อบุคคลและบัตรเครดิตคิดเป็นสัดส่วนเกือบ 1 ใน 3 ของยอดหนี้ครัวเรือนทั้งหมด ต่างจากหลายประเทศที่หนี้ครัวเรือนส่วนใหญ่มักจะเป็นหนี้เพื่อการซื้อที่อยู่อาศัย
หลายครอบครัวในประเทศไทยมีภาระหนี้สินหลายก้อนในเวลาเดียวกัน ทำให้เกิดความซับซ้อนในการบริหารจัดการหนี้ รวมถึงปัญหาการชำระหนี้ไม่ทัน ซึ่งส่วนหนึ่งเกิดจากขาดความรู้ในการวางแผนจัดการหนี้อย่างถูกวิธี เช่น ไม่รู้ว่าควรเริ่มต้นชำระหนี้จากก้อนที่มีดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน หรือลดภาระหนี้ก้อนเล็กที่สามารถปิดได้เร็ว เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและความสามารถในการจัดการหนี้ก้อนอื่นๆ ได้ง่ายขึ้น
ขั้นตอนการบริหารจัดการหนี้ครัวเรือนอย่างเป็นระบบเพื่อให้การจัดการหนี้หลายก้อนได้ผลดีและยั่งยืน ควรเริ่มจากการวางแผนและจัดทำบัญชีการเงินของตัวเองอย่างละเอียด เพื่อให้เห็นภาพรวมและจัดลำดับความสำคัญของหนี้อย่างเหมาะสม ดังนี้
การจดบันทึกรายได้และค่าใช้จ่ายอย่างละเอียดจะช่วยให้ทราบสถานะการเงินที่แท้จริงของครัวเรือน หากเป็นผู้ที่มีรายได้ประจำจะง่ายต่อการบันทึก แต่หากเป็นผู้ประกอบการหรือพ่อค้าแม่ค้าที่รายได้ไม่คงที่ ควรจดบันทึกเป็นรายวัน
และสรุปยอดรายรับ-รายจ่ายในแต่ละเดือน เพื่อให้เห็นว่ามีรายได้เท่าไร และค่าใช้จ่ายส่วนไหนสามารถลดได้ เช่น ลดการซื้อเครื่องดื่มฟุ่มเฟือย กิจกรรมสันทนาการ หรือค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นอื่น ๆ
การสำรวจทรัพย์สินที่มีอยู่ เช่น บ้าน ที่ดิน คอนโด รถยนต์ หรือของสะสมที่มีมูลค่า จะช่วยประเมินความมั่นคงทางการเงิน และพิจารณาว่าจะใช้ทรัพย์สินเหล่านี้อย่างไร เช่น ขายเพื่อนำเงินมาใช้หนี้ หรือใช้เป็นหลักประกันเพื่อกู้เงินในอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า
รวบรวมหนี้สินทั้งหมดที่มีทั้งหนี้ในระบบและหนี้นอกระบบ เรียงลำดับหนี้ตามอัตราดอกเบี้ย จากมากไปหาน้อย หรืออาจเลือกปิดหนี้ที่มียอดน้อยก่อน เพื่อสร้างแรงจูงใจและกำลังใจในการจัดการหนี้ เช่น หนี้นอกระบบที่มีดอกเบี้ยสูงสุด ควรให้ความสำคัญในการชำระก่อน หนี้ในระบบที่เสียดอกเบี้ยต่ำกว่าค่อยตามมา
เมื่อมีหนี้หลายก้อน ควรจัดการอย่างไรให้เป็นระบบและยั่งยืน การมีหนี้สินหลายก้อนในเวลาเดียวกันเป็นสถานการณ์ที่สร้างความกดดันให้กับชีวิตทั้งในด้านการเงิน จิตใจ และความมั่นคงในระยะยาว อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหานี้สามารถทำได้อย่างเป็นระบบ หากเริ่มต้นด้วยความเข้าใจ และวางแผนที่ชัดเจน โดยมีแนวทางดังนี้
ลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็น เมื่อตรวจสอบรายจ่ายแล้ว มักจะพบว่ามีค่าใช้จ่ายบางส่วนที่สามารถปรับลดได้ทันที เช่น:
อย่างไรก็ตาม แนวทางนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ยังมีรายได้เพียงพอกับการผ่อนชำระ หากรายได้ไม่พอใช้จ่ายประจำวันและผ่อนหนี้ แนวทางนี้อาจไม่เพียงพอ ต้องดำเนินการร่วมกับแนวทางอื่น
เพิ่มรายได้ การหารายได้เสริมเป็นอีกทางเลือกที่ได้ผลดีในยุคปัจจุบัน เช่น
ข้อควรระวังคือ ต้องบริหารเวลาให้ดี ไม่ให้กระทบกับงานประจำ และควรนำรายได้ที่เพิ่มขึ้นไปใช้ในการชำระหนี้ทันที
เจรจากับเจ้าหนี้นอกระบบ (ถ้ามี) หนี้นอกระบบมักมีอัตราดอกเบี้ยสูงและเสี่ยงต่อการถูกข่มขู่ ใช้ความรุนแรง จึงควร
เจรจากับเจ้าหนี้ในระบบ หลังจากจัดทำบัญชีรายรับ–รายจ่าย บัญชีทรัพย์สิน และบัญชีหนี้สินเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำข้อมูลเหล่านี้ไปเจรจากับเจ้าหนี้ในระบบ เช่น ธนาคารหรือสถาบันการเงิน โดยควรเปิดเผยข้อมูลอย่างตรงไปตรงมา รวมถึงสาเหตุของการเกิดหนี้ เพื่อให้สถาบันการเงินสามารถช่วยพิจารณาแนวทางในการปรับโครงสร้างหนี้ที่เหมาะสม โดยมีแนวทางหลักๆ เช่น
• ปรับลดอัตราดอกเบี้ยผ่านการรวมหนี้ (Debt Consolidation) ผู้กู้สามารถขอสินเชื่อใหม่เพื่อนำไปชำระหนี้เดิมทั้งหมด ซึ่งจะช่วยลดจำนวนเจ้าหนี้ลงเหลือเพียงรายเดียว และจัดการหนี้ได้ง่ายขึ้น โดยเฉพาะหากมีทรัพย์สินปลอดภาระ เช่น ที่ดิน บ้าน อาคารพาณิชย์ คอนโดมิเนียม หรือรถยนต์ แนะนำให้นำไปเป็นหลักประกันในการขอสินเชื่อ เนื่องจากจะได้อัตราดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าสินเชื่อไม่มีหลักประกัน
ตัวอย่างอัตราดอกเบี้ย
หมายเหตุ: ควรตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยล่าสุดกับธนาคารก่อนการตัดสินใจ
ปรับเงื่อนไขการชำระหนี้ (Restructuring Terms) สามารถขอเจรจาเพื่อปรับเปลี่ยนเงื่อนไขในการชำระหนี้ เช่น
ขอความช่วยเหลือจากครอบครัวหรือญาติพี่น้อง แม้อาจเป็นทางเลือกสุดท้าย แต่ในบางกรณี การขอความช่วยเหลือจากคนใกล้ชิดอาจเป็นทางออกที่ไม่ต้องเสียดอกเบี้ย
วางแผนชำระหนี้อย่างมีลำดับ เมื่อได้เงินจากแหล่งใดก็ตาม ควรวางแผนชำระหนี้ตามลำดับความสำคัญ
ปรับพฤติกรรมการใช้เงินและหลีกเลี่ยงหนี้นอกระบบ สิ่งสำคัญที่สุดคือการ เปลี่ยนวิธีคิดและพฤติกรรมทางการเงิน เช่น
หลังจากที่ได้รับเงินมา ไม่ว่าจะมาจากการขายทรัพย์สินที่มีอยู่ การขอกู้จากธนาคาร หรือการหยิบยืมจากคนในครอบครัว สิ่งสำคัญอันดับแรกที่ควรทำคือ การนำเงินก้อนนั้นไปใช้ชำระหนี้ที่ค้างอยู่โดยเร็วที่สุด เพื่อเป็นการลดภาระดอกเบี้ย ที่ต้องจ่ายในแต่ละเดือน ซึ่งจะช่วยให้สามารถฟื้นฟูสถานะทางการเงินได้เร็วขึ้น
แต่หากไม่สามารถชำระหนี้ทั้งหมดได้ในคราวเดียว ควรจัดลำดับความสำคัญของหนี้ โดยเริ่มจากหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงที่สุดก่อน เช่น หนี้บัตรเครดิตหรือหนี้นอกระบบ จากนั้นค่อยชำระหนี้ที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำลงตามลำดับ แนวทางนี้จะช่วยลดต้นทุนดอกเบี้ยในระยะยาว และทำให้ปลดหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ขณะเดียวกัน ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้เงินไปพร้อมกัน โดยควรใช้จ่ายอย่างมีวินัย ซื้อเฉพาะของจำเป็น หลีกเลี่ยงการใช้จ่ายที่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ และฝึกวินัยการออมเงินอย่างสม่ำเสมอด้วยหลัก “ออมก่อนใช้” เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันทางการเงินให้กับตัวเอง
ที่สำคัญอย่างยิ่งคือ ต้องหลีกเลี่ยงการกลับไปกู้หนี้นอกระบบซ้ำอีก เพราะแม้อาจดูเหมือนเป็นทางออกในช่วงเวลาฉุกเฉิน แต่แท้จริงแล้วเต็มไปด้วยความเสี่ยง ทั้งเรื่องดอกเบี้ยที่สูงผิดกฎหมาย และพฤติกรรมข่มขู่หรือใช้ความรุนแรงจากเจ้าหนี้
บางกลุ่ม ซึ่งอาจทำให้ปัญหาทางการเงินลุกลามและยากต่อการแก้ไขในอนาคต หากมีข้อสงสัยสามารถสอบถามได้ที่ CCAP คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap , เบอร์โทร: 092-256-6801

หลังจากที่ได้รับอนุมัติวงเงินสินเชื่อแล้ว สิ่งสำคัญที่ผู้กู้ต้องปฏิบัติคือ การชำระหนี้ตรงตามเวลาที่กำหนดไว้ทุกเดือน โดยทั่วไปผู้กู้จะต้องนำเงินเข้าบัญชีเพื่อชำระหนี้ให้ครบถ้วนตามข้อตกลงกับธนาคารหรือสถาบันการเงิน
อย่างไรก็ตามในบางช่วงเวลาอาจเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิด เช่น ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน หรือการบริหารเงินที่ขาดประสิทธิภาพ จนทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ตามกำหนด หากเกิดการจ่ายล่าช้า ผลกระทบที่จะตามมามีดังนี้
เมื่อมีการจ่ายหนี้ล่าช้า สถาบันการเงินจะคิด “ดอกเบี้ยผิดเงื่อนไข” ซึ่งมักมีอัตราสูงกว่าดอกเบี้ยปกติ โดยขึ้นอยู่กับประเภทของสินเชื่อ ตัวอย่างเช่น
สำหรับดอกเบี้ยผิดเงื่อนไขจะถูกคิดจาก “เงินต้นของค่างวดที่ผิดนัด” เช่น ค่างวดรายเดือน 12,000 บาท (เงินต้น 10,000 บาท + ดอกเบี้ย 2,000 บาท (ตัวอย่างสมมติ) ในกรณีนี้ ดอกเบี้ยผิดนัดจะคิดจาก เงินต้น 10,000 บาท
ซึ่งเป็นต้นทุนส่วนเพิ่มที่ไม่จำเป็นต้องเสีย หากชำระหนี้ตรงเวลา
ความรู้เพิ่มเติม : วิธีการคำนวณดอกเบี้ยผิดเงื่อนไขอาจแตกต่างกันตามนโยบายของแต่ละสถาบันการเงิน แนะนำให้ศึกษารายละเอียดจากเว็บไซต์ของสถาบันการเงินก่อนทำธุรกรรม
เมื่อมีการค้างชำระเกิน 1,000 บาทขึ้นไป สถาบันการเงินอาจเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการติดตามหนี้ ดังนี้
ค่าใช้จ่ายเหล่านี้เป็นต้นทุนส่วนเกินที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ หากวางแผนการเงินอย่างเหมาะสม
หนี้เสีย หรือ NPL (Non-Performing Loan) คือหนี้ที่ค้างชำระเกิน 90 วัน แต่หากมีการชำระล่าช้าเป็นประจำ ประวัติเครดิตของผู้กู้จะถูกบันทึกในระบบเครดิตบูโร ส่งผลให้การขอสินเชื่อในอนาคต เช่น สินเชื่อบ้านหรือรถยนต์ มีโอกาสถูกปฏิเสธ หรือได้รับอนุมัติวงเงินต่ำลง เพราะสถาบันการเงินมองว่าเป็นผู้กู้ที่มีความเสี่ยงสูงดังนั้นหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพคือ เหมือนการให้เพื่อนยืมเงิน หากเพื่อนคนนั้นเคยผิดนัดบ่อยๆ โอกาสที่เราจะให้ยืมอีกก็ย่อมลดลง เช่นเดียวกับสถาบันการเงินเช่นกัน
เมื่อล่าช้าหรือผิดนัดชำระหนี้ ผู้กู้มักได้รับการติดต่อจากเจ้าหน้าที่ติดตามทวงถาม ซึ่งอาจก่อให้เกิดความรู้สึกไม่สบายใจ ความกังวล หรือความเครียดสะสม หากเกิดขึ้นบ่อยครั้ง อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพจิตในระยะยาวได้ อย่างไรก็ตาม การติดตามทวงถามหนี้ต้องเป็นไปตามข้อกำหนดของ พระราชบัญญัติการทวงถามหนี้ พ.ศ. 2558 ซึ่งกำหนดวิธีการและขอบเขตในการติดต่อทวงถามอย่างเป็นธรรม สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับ พ.ร.บ. นี้ได้จากเว็บไซต์ของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง
ข้อควรรู้เพิ่มเติม
ก่อนตัดสินใจทำธุรกรรมหรือหากมีปัญหาการชำระหนี้ ควรตรวจสอบอัตราดอกเบี้ยผิดเงื่อนไข ค่าปรับ และค่าใช้จ่ายทั้งหมดจากแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เช่น เว็บไซต์สถาบันการเงิน หรือปรึกษาเจ้าหน้าที่โดยตรง
การชำระหนี้ให้ตรงตามกำหนดเวลาเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่เพียงช่วยรักษาประวัติทางการเงินให้ดี แต่ยังหลีกเลี่ยงค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม เช่น ดอกเบี้ยผิดนัด และค่าธรรมเนียมในการติดตามทวงถามซึ่งในหลายกรณีผู้กู้มีเงินพร้อมชำระอยู่แล้ว เพียงแต่ “ลืมจ่าย” เท่านั้น โดยเฉพาะในสินเชื่อประเภทบัตรเครดิตหรือบัตรเงินด่วน
1. ใช้วิธีการจ่ายเองผ่านแอปหรือเคาน์เตอร์สาขาของสถาบันการเงิน แสดงว่าเงินสดอาจจะตึงมืออยู่บ้าง แต่ยังจ่ายไหวอยู่ แนะนำให้ตั้งค่า “แจ้งเตือน” หรือ “alert” ที่โทรศัพท์มือถือ ควรตั้งแจ้งเตือนล่วงหน้าก่อนถึง วันครบกำหนด 3-5 วัน เพื่อเตือนให้ต้องไปจ่าย จากนั้น หากเริ่มหมุนเงินคล่องขึ้น แนะนำให้ทำหักบัญชีอัตโนมัติเพื่อชำระหนี้ ป้องกันการลืมจ่าย
2. กรณีมีบริการหักบัญชีอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่เงินเข้าบัญชีอื่น แนะนำให้ตั้งเวลา โอนเงินอัตโนมัติ จากบัญชีที่มีรายรับเข้าสู่บัญชีที่ผูกไว้กับระบบหักบัญชีอัตโนมัติ ซึ่งสามารถตั้งค่าผ่านแอปสถาบันการเงินได้ง่ายๆ เพื่อให้มั่นใจว่ามีเงินพร้อมสำหรับตัดยอดตามกำหนด
สาเหตุระยะสั้น เหตุการณ์ฉุกเฉินที่ไม่ได้วางแผนล่วงหน้าตัวอย่างเช่น คนในครอบครัวป่วยกะทันหัน หรือมีเหตุทุจริตในธุรกิจ แนะนำให้มี “วงเงินสำรอง” ไว้ล่วงหน้า ข้อควรระวังคือ ควรเตรียมวงเงินไว้ล่วงหน้า เพราะหากรอสมัครในช่วงเกิดเหตุฉุกเฉินจริง อาจต้องใช้เวลาอนุมัติ 1-3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับประเภทของสินเชื่อ
สาเหตุระยะยาว รายได้ไม่เป็นไปตามเป้าหมาย อาจเกิดจากธุรกิจชะลอตัว หรือรายได้จากงานประจำลดลง เช่น ถูกปรับลดโอที ซึ่งแนวทางแก้ไขคือ
การเข้าพบสถาบันการเงินอย่างรวดเร็วเมื่อมีปัญหา จะช่วยให้ได้ทางออกที่เป็นธรรมสำหรับทั้งสองฝ่ายได้ดังนั้น การป้องกันการผิดนัดชำระหนี้เริ่มต้นที่ “การวางแผน” และ “การใช้เครื่องมือทางการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ” ไม่ว่าจะเป็นการตั้งเตือน การหักบัญชีอัตโนมัติ หรือการเตรียมวงเงินสำรอง รวมถึงการไม่ละเลย เมื่อเริ่มมีปัญหาสภาพคล่อง เพราะการเข้าหารือกับสถาบันการเงินตั้งแต่เนิ่นๆ ย่อมดีกว่ารอให้ปัญหาบานปลาย
1. เตรียมเงินสำรองฉุกเฉินให้เพียงพอ เช่นควรมีเงินสำรองเผื่อเหตุฉุกเฉินอย่างน้อย 6–12 เท่าของค่าใช้จ่ายรายเดือน เพื่อให้สามารถรับมือกับสถานการณ์ไม่คาดฝันได้อย่างทันท่วงที
2. ปรับลดค่าใช้จ่ายอย่างมีสติ การลดค่าใช้จ่ายในสิ่งที่ไม่จำเป็น จะช่วยเพิ่มสภาพคล่องทางการเงิน ทั้งในระดับธุรกิจและระดับบุคคล
3. สร้างช่องทางเพิ่มรายได้ การเพิ่มรายได้เป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงิน
4. หลีกเลี่ยงการกู้เงินนอกระบบ แม้จะดูเป็นทางออกในระยะสั้น แต่การกู้เงินนอกระบบมีความเสี่ยงสูง ทั้งอัตราดอกเบี้ยที่แพงเกินจริง และวิธีการทวงหนี้ที่อาจละเมิดสิทธิ เช่น การข่มขู่ ประจาน หรือใช้ความรุนแรง ซึ่งนำไปสู่ปัญหาทางกฎหมายและความปลอดภัยในชีวิต
การชำระหนี้ล่าช้ามักเกิดจาก 2 สาเหตุหลัก ได้แก่ ลืมชำระแม้มีเงินพร้อมอยู่แล้ว หรือขาดสภาพคล่อง “หมุนเงินไม่ทัน” ซึ่งทั้งสองกรณีอาจนำไปสู่ผลเสียหลายประการ เช่น ดอกเบี้ยผิดนัด ค่าธรรมเนียมทวงถาม ประวัติเครดิตเสีย และส่งผลกระทบต่อจิตใจ
ดังนั้นการ วางแผนทางการเงินอย่างรอบคอบ มีวินัยในการใช้จ่าย ควบคู่กับการเตรียมเงินสำรอง และหาช่องทางเพิ่มรายได้ จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับปัญหาทางการเงินได้อย่างยั่งยืน หากเกิดปัญหาเหล่านี้
สามารถแก้ไขได้โดยการติดต่อมาขอคำปรึกษากับบริษัทได้เลย CCAP คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap , เบอร์โทร: 092-256-6801

จากรายงานเรื่อง “หนี้ครัวเรือนของไทย วิกฤตแค่ไหน ทำไมถึงไม่ควรมองข้าม” พบว่า คนไทยจำนวนมากกำลังเผชิญกับปัญหาหนี้สินเป็นจำนวนมากสามารถอธิบายดังนี้
ข้อมูลเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมการก่อหนี้เพื่อการบริโภค มากกว่าการลงทุนในทรัพย์สินหรือกิจการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อเสถียรภาพทางการเงินของครัวเรือนไทยในระยะยาว
1. ถ้าไม่ซื้อ มีผลกระทบกับชีวิตเราอย่างไร?
การตั้งคำถามว่าหากเราไม่ซื้อสินค้านี้ จะส่งผลกระทบกับชีวิตหรือการทำงานของเรามากแค่ไหน เช่น หากซื้อรถยนต์เพื่อใช้ในการประกอบอาชีพ (เช่น เซลส์แมน หรือพ่อค้าแม่ค้า) ซึ่งการขาดรถอาจทำให้การเดินทางยากขึ้น อาจบอกได้ว่าเป็นสิ่งจำเป็น แต่ถ้าซื้อรถเพียงเพื่อความสะดวกในการเดินทางไปทำงานหรือท่องเที่ยวในวันหยุด อาจจะไม่เป็นเรื่องจำเป็นขนาดนั้น เพราะสามารถเลือกวิธีเดินทางอื่น เช่น ขนส่งสาธารณะ หรือการใช้เวลามากขึ้นในการเดินทาง
2. ก่อนหน้านี้เราใช้ชีวิตอย่างไร?
ถามตัวเองว่าเมื่อก่อนที่ไม่มีสินค้าหรือบริการนั้น ๆ เราก็ยังสามารถดำเนินชีวิตไปได้ไหม? เช่น ก่อนที่เราจะมีรถยนต์ ขณะนั้นการเดินทางด้วยขนส่งสาธารณะก็ยังสามารถทำให้เราทำงานได้ตามปกติ ดังนั้น คำถามนี้ช่วยให้เราแยกแยะว่าความลำบากที่เรารู้สึกนั้นเป็นเหตุผลที่แท้จริงหรือเป็นข้ออ้างในการซื้อสินค้าหรือไม่
3. มีทางเลือกอื่นที่ทดแทนได้หรือไม่?
พิจารณาถึงทางเลือกอื่น ๆ ที่อาจประหยัดกว่าการซื้อสินค้าชิ้นนั้น เช่น ถ้าความต้องการหลักคือการเดินทาง การใช้บริการรถแท็กซี่อาจเป็นทางเลือกที่ดีกว่าการซื้อรถยนต์ หากคำนึงถึงค่าใช้จ่ายระยะยาว เช่น ค่าผ่อนรถ ค่าน้ำมัน ค่าบำรุงรักษา และค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับการมีรถยนต์ ซึ่งการใช้แท็กซี่อาจมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าในบางกรณี นอกจากนี้ยังสามารถพิจารณาเรื่องการซื้อสินค้าประเภทมือสอง หรือเลือกสินค้ารุ่นที่ราคาถูกกว่าหรือเหมาะสมกับงบประมาณ
4. จำเป็นต้องซื้อทันทีหรือไม่?
หากหลังจากพิจารณาอย่างละเอียดแล้วพบว่าเราจำเป็นต้องซื้อสินค้า แต่ไม่สามารถหาทางเลือกอื่นได้ เราควรถามตัวเองว่า การซื้อทันทีเป็นสิ่งที่จำเป็นหรือสามารถรอได้? การรออาจช่วยให้เราได้ประโยชน์จากการมีโปรโมชั่น หรือข้อเสนอพิเศษ เช่น ลดราคา หรือการสนับสนุนจากภาครัฐ
5. จำเป็นต้องใช้เงินสดหรือสามารถกู้เงินได้?
สุดท้าย เราควรพิจารณาว่าควรใช้เงินสดในการซื้อสินค้านั้น ๆ หรือไม่ โดยเฉพาะสินค้าที่มีราคาแพง เช่น รถยนต์ หรือบ้าน ซึ่งอาจต้องใช้วิธีการกู้เงินจากธนาคาร แทนการใช้เงินสด เนื่องจากสินค้าราคาสูงมักมีการปรับราคาขึ้นทุกปี ซึ่งหากรอเก็บเงินเป็นจำนวนมากอาจทำให้ไม่สามารถซื้อได้ตามที่ต้องการ ดังนั้น การเลือกใช้วิธีการกู้เงินในกรณีที่สินค้าจำเป็นจึงเป็นทางเลือกที่สมเหตุสมผล
สำหรับคำถามเหล่านี้ หากคำตอบของคุณคือ “ใช่” ทุกข้อ นั่นอาจบ่งบอกว่า คุณยังไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้านั้นในตอนนี้ หรือแม้กระทั่ง เป็นสิ่งที่จำเป็น แต่ไม่ถึงขั้นต้องกู้เงินมาเพื่อซื้อ คำถามเหล่านี้สามารถนำไปประยุกต์ใช้ได้กับสินค้าและบริการแทบทุกประเภท เพื่อช่วย เตือนสติในการใช้จ่ายอย่างมีเหตุผล และเน้นย้ำให้ใช้เงินไปกับสิ่งที่จำเป็นจริง ๆ มากกว่าการใช้เพื่อตอบสนองความต้องการชั่วคราว
เพราะเมื่อถึงเวลาที่มีเหตุจำเป็นทางการเงินอย่างแท้จริง แต่ไม่สามารถหาเงินมาใช้ได้ทัน คุณอาจรู้สึกเสียดายภายหลังว่า “รู้อย่างนี้ไม่น่าซื้อเลย” อย่างไรก็ตาม หากคุณพิจารณาแล้วว่าสินค้านั้นมีความจำเป็นจริงและมีราคาสูง เช่น
ในกรณีเหล่านี้ การใช้สินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันทางการเงิน อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสม แต่ก็ควรศึกษารายละเอียดให้รอบด้าน เช่น เงื่อนไขการกู้ ดอกเบี้ย ระยะเวลาผ่อน และผลกระทบต่อรายจ่ายรายเดือน
เพื่อให้การตัดสินใจนั้นมั่นใจและคุ้มค่าที่สุด หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ CCAP เบอร์โทร: 092-256-6801 หรือแอดไลน์มาได้เลย คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap

จากผลการสำรวจเรื่อง “หนี้นอกระบบในประเทศไทยเป็นอย่างไร” พบว่า ประชาชนส่วนใหญ่ที่ก่อหนี้นอกระบบมีเหตุผลสำคัญดังต่อไปนี้
แม้ว่าสถาบันการเงินและธนาคารจะมีบริการสินเชื่อหลากหลายประเภท แต่คนจำนวนไม่น้อยกลับไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้ในระบบได้ ด้วยปัจจัยสำคัญหลายประการ ได้แก่
จากข้อจำกัดเหล่านี้ คนกลุ่มดังกล่าวจึงหันไปพึ่งแหล่งเงินกู้นอกระบบที่เข้าถึงได้ง่าย แม้ต้องแลกกับดอกเบี้ยที่สูงลิ่ว และเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรม
ประเภทของเจ้าหนี้นอกระบบ ในปัจจุบันสามารถแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่
ซึ่งการเข้าใจที่มาของปัญหานี้จึงเป็นก้าวแรกสำคัญในการหาแนวทางแก้ไขอย่างยั่งยืน ทั้งในด้านการขยายโอกาสการเข้าถึงแหล่งเงินทุนในระบบ และการให้ความรู้ทางการเงินกับประชาชน
วิธีการปล่อยกู้และพฤติกรรมของเจ้าหนี้นอกระบบที่ควรระวัง เจ้าหนี้นอกระบบมักใช้วิธีการหลอกล่อและเอาเปรียบผู้กู้ในหลากหลายรูปแบบ ได้แก่
เจ้าหนี้นอกระบบมักใช้เทคนิคโฆษณาชวนเชื่อ เพื่อหลอกล่อให้ผู้ที่กำลังเดือดร้อนเรื่องเงินหลงเชื่อว่านี่คือ “ทางรอดสุดท้าย” ตัวอย่างโฆษณาที่พบได้บ่อย เช่น
ข้อความเหล่านี้ดูเหมือนเป็นโอกาสดี แต่เบื้องหลังกลับเต็มไปด้วยกับดักที่ทำให้ผู้กู้ตกเป็นเหยื่อโดยไม่รู้ตัว และเมื่อเหยื่อตกลงกู้เงิน เจ้าหนี้นอกระบบจะใช้วิธีเอารัดเอาเปรียบในทุกรูปแบบ เช่น การทำสัญญากู้ไม่ตรงกับเงินที่ได้รับจริง และการคิดดอกเบี้ยโหดเกินกว่าที่กฎหมายกำหนด ตัวอย่างเช่น
จากตัวอย่างโฆษณา “กู้ 10,000 บาท ผ่อนคืนวันละ 200 บาท นาน 6 เดือน*” ฟังดูเหมือนจะไม่แพง แต่หากลองคำนวณจริง ๆ จะพบว่า ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายนั้นสูงจนเกินรับไหว การโฆษณาแบบนี้ตั้งใจหลอกให้คนกู้เข้าใจผิด ว่าเป็นยอดผ่อนรายวันที่เบา สบาย และหมดหนี้เร็ว ทั้งที่แท้จริงแล้วต้องจ่ายดอกเบี้ยแพงมหาศาล
ในกรณีที่กู้เงินจำนวนสูง เจ้าหนี้นอกระบบมักบังคับให้นำทรัพย์สิน เช่น ที่ดิน บ้าน รถยนต์ หรือรถจักรยานยนต์มาค้ำประกัน แต่แทนที่จะรักษาทรัพย์สินไว้ให้ตามข้อตกลง เจ้าหนี้นอกระบบบางรายกลับนำทรัพย์เหล่านี้ไปขาย หรือจำนำต่ออย่างผิดกฎหมาย พอถึงเวลากลับมาไถ่คืน ทรัพย์สินอาจหายไปอย่างไร้ร่องรอย ทิ้งให้ผู้กู้ต้องสูญเสียสมบัติอันมีค่าไปตลอดกาล
ข้อควรระวัง: กับดักเจ้าหนี้นอกระบบออนไลน์ และกลลวงจากมิจฉาชีพ ในโลกออนไลน์ เจ้าหนี้นอกระบบมีทั้งกลุ่มที่ปล่อยกู้เงินจริง และกลุ่มมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาในคราบนายทุนเงินกู้ วิธีการหลอกลวงที่พบบ่อย เช่น เมื่อต้องการกู้เงิน 100,000 บาท มิจฉาชีพจะอ้างว่าต้องโอนเงินเพื่อเป็น “ค่าใช้จ่ายเบื้องต้น” เช่น ค่าธรรมเนียม หรือ “เงินปากถุง” ก่อนถึงจะดำเนินการกู้ได้ และเมื่อเหยื่อหลงเชื่อโอนเงินไปแล้ว กลลวงยังไม่จบง่ายๆ มิจฉาชีพจะอ้างเหตุผลเพิ่มเติมเพื่อขอเงินซ้ำอีก เช่น
สุดท้าย เหยื่อจะเสียเงินไปหลายครั้งโดยไม่ได้รับเงินกู้แม้แต่บาทเดียว
เมื่อพูดถึงการกู้นอกระบบ สิ่งสำคัญที่ต้องรู้ คือ “ความเสี่ยงที่อาจตามมา” ผู้กู้จำนวนมากแม้จะเริ่มผ่อนชำระหนี้ได้ในช่วงแรก แต่ไม่นานมักเริ่มผ่อนไม่ไหว เพราะแม้จะจ่ายไปเท่าไร ยอดเงินต้นก็ไม่ลดลง เนื่องจากถูกคิดดอกเบี้ยที่สูงเกินจริง หรือบางครั้งเกิดภาวะขาดสภาพคล่อง จนไม่สามารถชำระหนี้ต่อได้
เมื่อผู้กู้ผิดนัดชำระ เจ้าหนี้นอกระบบมักใช้วิธีการทวงหนี้ที่รุนแรง และ ไม่อยู่ภายใต้กฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค โดยมีพฤติกรรมที่พบได้บ่อยดังนี้:
ดังนั้น การกู้นอกระบบอาจดูเหมือนทางเลือกที่ง่ายในยามจำเป็น แต่เบื้องหลังเต็มไปด้วยความเสี่ยงที่ร้ายแรงต่อชีวิต ทรัพย์สิน และศักดิ์ศรีของผู้กู้ ดังนั้น ก่อนตัดสินใจกู้เงินจากที่ใด ควรศึกษาและเลือกใช้บริการจากสถาบันการเงินที่ถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น เพื่อปกป้องตัวเองและครอบครัวจากอันตรายที่คาดไม่ถึง
เมื่อไม่สามารถชำระหนี้นอกระบบได้ อย่าตกใจหรือเลือกที่จะหลบหนี เพราะการหลีกเลี่ยงไม่ใช่ทางออกที่ดี ทางเลือกแรกที่ควรทำ คือ การเจรจากับเจ้าหนี้ ซึ่งเป็นหลักการเดียวกับการเจรจากับเจ้าหนี้ในระบบ เช่น สถาบันการเงินหรือธนาคาร ผู้กู้สามารถขอเจรจาเพื่อ:
หากเจ้าหนี้เป็นบุคคลที่ผู้กู้รู้จัก เช่น เพื่อน คนในชุมชนเดียวกัน หรือญาติพี่น้อง มีแนวโน้มที่จะเจรจาได้ง่ายขึ้น เพราะยังพอมีความไว้เนื้อเชื่อใจอยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม หากเป็นเจ้าหนี้นอกระบบประเภทที่ไม่รู้จักกันมาก่อน เช่น:
เจ้าหนี้กลุ่มนี้มักจะไม่ยินยอมให้มีการเจรจา และนิยมใช้วิธีการ ข่มขู่ คุกคาม หรือใช้ความรุนแรง เพื่อสร้างความกลัวให้กับลูกหนี้
จากที่กล่าวมาแล้ว คนที่กำลังเดือดร้อนเรื่องเงิน มักมองว่า เจ้าหนี้นอกระบบ คือทางเลือกที่ง่ายและเร็วที่สุด เหมือนเป็น “ทางรอด” สำหรับผู้ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินกู้จากสถาบันการเงินได้ แต่ในความเป็นจริง เมื่อกู้มาแล้วและเริ่มผ่อนไม่ไหว “ทางรอด” นั้นจะกลับกลายเป็น “ทางตัน” ทันที ผู้กู้จะเผชิญกับการทวงหนี้ที่รุนแรง ไม่ว่าจะเป็น:
เหตุการณ์สะเทือนขวัญเหล่านี้เกิดขึ้นบ่อยครั้ง และสามารถพบเห็นได้จากรายงานข่าวในสื่อต่างๆ ดังนั้น ไม่ว่าคุณจะเดือดร้อนเรื่องเงินแค่ไหน สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงเป็นอันดับแรก คือ “เงินกู้นอกระบบ” เพราะมันจะนำคุณเข้าสู่วงจรอุบาทว์ที่ยากจะหลุดพ้น หากจำเป็นต้องใช้เงินจริงๆ ควรมองหาแหล่งเงินกู้ในระบบ เช่น:
ซึ่งแม้จะมีขั้นตอนที่เข้มงวดกว่า แต่ก็มีมาตรการคุ้มครองตามกฎหมาย และไม่ต้องเสี่ยงกับอันตรายที่ไม่คาดคิด
ดังนั้น หนี้นอกระบบ คือการกู้เงินจากแหล่งที่ไม่ได้รับอนุญาตตามกฎหมาย ซึ่งมักคิดดอกเบี้ยในอัตราที่สูงเกินจริง ผู้กู้มักไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร ทำให้เสี่ยงต่อการถูกเอาเปรียบหรือถูกข่มขู่จากเจ้าหนี้
ปัญหานี้มักเกิดในกลุ่มรายได้น้อยที่ไม่สามารถเข้าถึงสินเชื่อจากธนาคารหรือสถาบันการเงินได้ เพื่อความปลอดภัยควรเลือกแหล่งกู้เงินจากแหล่งที่ได้รับการรับรอง นอกจากนี้ ควรมีความรู้ด้านการเงินเบื้องต้นและวางแผนการใช้จ่าย
อย่างรอบคอบก่อนตัดสินใจกู้เงิน หากมีข้อสงสัย สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ CCAP เบอร์โทร: 092-256-6801 หรือแอดไลน์มาได้เลย คลิก 👉🏻 https://lin.ee/NEBc1fz , LINE ID: @helloccap
